สวทช.ลงนามความร่วมมือกับ PANUS ผนึกกำลังด้านวิจัยและนวัตกรรมยกระดับอุตสาหกรรมขนส่ง-ยานยนต์-แบตเตอรี่
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2565 ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ สวทช. และดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช. ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในธุรกิจอุตสาหกรรมระหว่าง สวทช.และ บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด นำโดย นายพนัส วัฒนชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด (PANUS) นายเกริก กลมเกลียว ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรม และดร.วิมล แสนอุ้ม ผู้อำนวยการหน่วยธุรกิจนวัตกรรม บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด เข้าร่วมงานและเป็นสักขีพยานในการลงนาม
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีที่มีความพร้อมไปใช้งานในเชิงพาณิชย์และสาธารณะประโยชน์ ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และภาคสังคม จึงได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเฉพาะทาง (Focus Center) ซึ่งปัจจุบันมี 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ และศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่
ทั้งนี้ สวทช. ยังผลักดันการนำผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ ผ่านระบบบัญชีนวัตกรรมไทย ซึ่งทำให้ผลงานวิจัยมีช่องทางนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานภาครัฐที่เป็นตลาดใหญ่สุดในปัจจุบัน และทำงานร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ทำมาตรฐานอุตสาหกรรมนวัตกรรม กำหนดมาตรฐานสำหรับนวัตกรรม ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นทำให้นวัตกรรมได้รับการรับรองต่อไป
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างในการทำงานเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนเพิ่มเติม เช่น การจัดตั้ง NSTDA Startup โดย สวทช. ได้กำหนดกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อให้บุคลากร สวทช. สามารถไปถือหุ้นในบริษัท และให้บริษัทจ้าง สวทช. เข้าไปบริหารจัดการเรื่องเทคโนโลยี ด้วยกลไกนี้ทำให้บุคลากร สวทช. สามารถไปทำงานในบริษัทที่ตัวเองถือหุ้นได้ ขณะเดียวกันก็ยังคงเป็นพนักงานของ สวทช. และ การตั้ง NSTDA Holding ซึ่ง สวทช. ได้ปรับรูปแบบการลงทุนให้เป็นแพลตฟอร์ม ใน NSTDA Holding สวทช. ถือหุ้นได้ 100% มีงบประมาณในการลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท มีกลไกการลงทุนแยกออกจาก สวทช. โดยเป็นบริษัทจำกัดที่ใช้ในการลงทุนเอางานวิจัยของคนรุ่นใหม่ไปตั้งเป็นบริษัท สร้างแพลตฟอร์มในการลงทุนเพื่อที่จะเอางานวิจัยวิ่งผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ รวมทั้งมีเงินทุนจำนวนหนึ่งไปถือหุ้นใน Startup ทั้งที่จัดตั้งเองและ Startup ทั่วไป เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนเชิงพาณิชย์ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม สวทช. และ บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ได้มีความร่วมมือในหลายด้าน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ Logistics และแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน เป็นต้น การลงนามความร่วมมือระหว่าง บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด และ สวทช. ในวันนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งในกลไกที่จะช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมในประเทศ ผ่านการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างนวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีที่มีจุดแข็งและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในธุรกิจอุตสาหกรรมในอนาคต
“ตลอด 30 ปี ที่ผ่านมา สวทช. ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานจากองค์กรวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สู่ภารกิจในการริเริ่มและผลักดันให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญของประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ใช้จุดเด่นและความเข้มแข็งของทรัพยากรภายในประเทศ ผสานกับความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภารกิจต่างๆ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนสอดคล้องตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ”
นายพนัส วัฒนชัย ประธานกรรมการบริหาร พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีความร่วมมือกับทาง สวทช. ในหลายภาคส่วน ทั้งการร่วมใช้ทรัพยากรเกี่ยวกับ Finite Element กับ DECC มากกว่า 15 ปี ความร่วมมือกับศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี จัดการประกวดผลงานความคิดสร้างสรรค์เชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้านโลจิสติกส์ ในโครงการ Panus Thailand LogTech Award ที่ร่วมกันจัดมาแล้วกว่า 5 ปี นอกจากนี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติที่เหมาะกับการใช้งานภายใต้สภาพเงื่อนไขประเทศไทย การพัฒนาแผ่นเกราะกันกระสุนสำหรับการใช้งานในหัวรถจักรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้โดยสารในพื้นที่ภาคใต้ และอีกหลายโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่และกำลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“อย่างไรก็ดีกว่า 50 ปีของบริษัทฯ ได้เกิดการ Transformation และพัฒนาธุรกิจในหลากหลายด้านเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป โดยเริ่มจากธุรกิจให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ หรือที่รู้จักกันดีในการผลิตรถขนส่งเชิงพาณิชย์ ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 มากกว่า 25 % ของตลาดมาอย่างยาวนาน และมีการส่งออกไปมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจการให้บริการภาคพื้นสนามบินที่ดำเนินกิจการมากว่า 15 ปี เช่น รถดันเครื่องบินที่มีทั้งระบบดีเซล และไฟฟ้า 100% ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทด้วยฐานคิดและนวัตกรรมด้านยานยนต์ไฟฟ้าตรงนี้ จึงได้พัฒนาต่อยอดเป็นหน่วยธุรกิจนวัตกรรม ที่ดูแลธุรกิจใหม่ๆของบริษัททั้งในเรื่องอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ รวมถึงระบบบริหารจัดการฝูงรถ และ ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเชิงพาณิชย์ ในชื่อ Panus Drive ที่เพิ่งเปิดตัวโดยเป็นการสร้างชุดดัดแปลงรถสันดาปเป็นพลังงานไฟฟ้า มุ่งเน้นรถขนส่งเชิงพาณิชย์”
ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ สวทช. กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในธุรกิจอุตสาหกรรม ได้แก่ 1.ร่วมบริหารโครงการวิจัย พร้อมทั้งพัฒนาเครือข่ายการทำงานของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคอุตสาหกรรม 2. สร้างนวัตกรรมรูปแบบใหม่ เช่น การพัฒนา Platform ให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ 3. บูรณาการเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์ทรัพยากรในแต่ละหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น ทั้งบุคลากรในสายวิจัยและวิชาการ โครงสร้างพื้นฐาน อุปกรณ์เครื่องมือในการวิจัยและพัฒนา 4. การสร้างกลไกเพื่อขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ ในผลงานวิจัยและพัฒนาการสร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรม และ 5.พัฒนางานวิจัยเชิงประยุกต์ พร้อมทั้งส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น โครงการรับจ้างวิจัย โครงการร่วมวิจัย การถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนการอนุญาตให้ใช้สิทธิ เพื่อสร้างธุรกิจที่มีความแตกต่างด้วยนวัตกรรม ให้คำปรึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรม แก้ไขปัญหาทางวิศวกรรม การบริการวิเคราะห์และทดสอบ รวมถึงจะร่วมกันพัฒนากลไกเชิงธุรกิจ ผ่านมาตรการส่งเสริมการเงิน ภาษี และบัญชีนวัตกรรมไทย ของสวทช.
“ สวทช. ได้ความร่วมมือกับ พนัส แอสเซมบลีย์ ในหลายด้าน โดยด้านการวิจัยและพัฒนานั้น ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ หรือ RMT ของสวทช. ได้ร่วมวิจัยและพัฒนากับ พนัส แอสเซมบลีย์ ในการพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติที่เหมาะกับการใช้งานภายใต้สภาพเงื่อนไขประเทศไทย เพื่อสร้างต้นแบบยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ในรูปแบบรถฟีดเดอร์ ที่บรรทุกผู้โดยสารได้ 15 คน ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า วิ่งได้ความเร็วสูงสุด 35 กม./ชม. เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายขนส่งสาธารณะ หรือ First-and-Last Mile Connectivity โดยได้รับการทุนสนับสนุนการวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ภายใต้ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการพัฒนาเพิ่มความปลอดภัยของหัวรถจักรเพื่อป้องกันโจมตีจากกระสุนให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้โดยสารรถไฟในพื้นที่ภาคใต้ โดยจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากแผนบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้ระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี”
ด้าน ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช. หรือ NSD กล่าวเสริมว่า ในส่วนของศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศฯ ได้วางแผนงานวิจัยที่จะร่วมมือกับ บ. พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ใน 2 โครงการ ได้แก่ 1.การพัฒนาชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลด้วยการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิต เพื่อกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลของรถขนาดใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยีการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิต ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการกรองไอเสียดีเซลที่ประกอบด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็กมากได้ สามารถฉีดล้างทำความสะอาดชุดกรองได้ง่าย สำหรับติดตั้งในรถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ เพื่อลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ และ 2.การร่วมลงทุนวิจัยระหว่าง พนัส และ สวทช. ในโรงงานต้นแบบผลิตแบตเตอรี่ทางเลือก ในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi ในอำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง