“พลาสติก” เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต และอุตสาหกรรมพลาสติกก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต ช่วยสร้างงานสร้างอาชีพ แต่พลาสติกใช้แล้วที่ไม่ได้ถูกส่งกลับเข้ากระบวนการจัดการอย่างถูกวิธี ก็จะกลายเป็นขยะ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ความท้าทายของธุรกิจวันนี้ จึงอยู่ที่การรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆกัน
GC เป็นหนึ่งองค์กรที่ดำเนินธุรกิจตามแนวคิด ESG โดยตั้งเป้าเดินหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 (Net Zero 2050) ด้วยการประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านแนวคิด ‘GC Circular Living’ เพื่อจัดการพลาสติกใช้แล้ว รวมถึงทรัพยากรอื่นๆในกระบวนการผลิตอย่างถูกวิธีและมีประสิทธิภาพ โดยการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ยังสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง Eco-Efficiency[1] หรือ ประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ ที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการให้ภาคธุรกิจมีศักยภาพการแข่งขันมากขึ้น ควบคู่กับการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
โดยมีกระบวนการที่ดีในการผลิตและจัดการทรัพยากร ด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ดังนี้
ลดของเสียต้นทาง ลดก๊าซเรือนกระจก ด้วยกระบวนการผลิตที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย
เพื่อลดปัญหาขยะพลาสติกตั้งแต่ต้นทาง ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) ซึ่งวัตถุดิบดังกล่าว ขณะเป็นต้นพืช ก็ช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกระหว่างเติบโต โดยเมื่อนำมาผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพ ผ่านการใช้แล้ว และนำไปจัดการอย่างถูกวิธี ก็จะสลายตัวได้ทางชีวภาพ กลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และชีวมวล ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช[2] เรียกได้ว่า พลาสติกชีวภาพ มีประโยชน์ตั้งแต่ต้นทาง จนถึงปลายทางเลยทีเดียว
นอกจากนี้ เรายังร่วมกับพันธมิตร ตั้งโรงรีไซเคิลในชื่อบริษัท Envicco เพื่อนำพลาสติกใช้แล้วในประเทศ กลับเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (Post-consumer Recycled Resins หรือ PCR) ที่ช่วยลดขยะพลาสติกในประเทศได้ถึง 60,000 ตัน/ปี ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ 75,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี[3]
ลดการใช้พลังงาน ด้วยกระบวนการที่ดี และมีการปรับปรุงต่อเนื่อง
ทุกโรงงานของเรา ได้รับการรับรองระบบการจัดการพลังงานตามมาตรฐาน ISO 50001 จากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ แสดงถึงการควบคุมดูแลรับผิดชอบการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตามกระบวนการจัดการพลังงาน และมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปฏิบัติตามเงื่อนไข ข้อกำหนดต่าง ๆ ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมจัดทำโครงการอนุรักษ์พลังงาน ส่งผลให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงานของโรงงาน สามารถลดการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง[4] นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมสร้างจิตสำนึกให้พนักงาน ด้านการลดการใช้พลังงาน ทั้งในกระบวนการผลิต และภายในสำนักงาน โดยในปี 2564 ที่ผ่านมา สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 1.07 ล้านจิกะจูล/ปี ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 80,280 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี [5]
หมุนเวียนนำทรัพยากรมาใช้ใหม่อย่างคุ้มค่า ลดของเสียสู่สิ่งแวดล้อม
ด้านการบริหารจัดการน้ำ ได้นำแนวคิด GC Circular Living มาใช้เช่นกัน โดยนำน้ำกลับมาหมุนเวียนใช้ประโยชน์ เช่น ผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล และนำน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดการดึงน้ำจืดจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ส่งผลให้ในปี 2021 ที่ผ่านมา สามารถลดการดึงน้ำจืดจากแหล่งน้ำภายนอกได้ถึง 5.66 ล้านลูกบาศก์เมตรเลยทีเดียว[6]
นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการลดปริมาณการเกิดของเสียที่แหล่งกำเนิด และนำของเสียทั้งจากกระบวนการผลิตและกิจกรรมต่างๆ ไปแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ และเชื้อเพลิง ฯลฯ ส่งผลให้มีการนำของเสียกลับมาใช้ประโยชน์จำนวน 82,424 ตัน หรือคิดเป็น 83% ในปี 2021 โดย GC ได้ดำเนินนโยบายนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 แล้ว[7]
จากการดำเนินงานทั้งหมดนี้ จะเห็นว่า GC มีกระบวนการที่ดี ครอบคลุมทั้งกระบวนการผลิตและกระบวนการดำเนินงาน อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ GC เป็นผู้นำในธุรกิจพลาสติกและเคมีภัณฑ์ระดับสากล ที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างต่อเนื่อง โดย GC ร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วน ที่มุ่งหวังให้เป้าหมาย Net Zero 2050 นั้นเกิดขึ้นจริง เพื่อให้โลกยังมีทรัพยากรที่เพียงพอ สำหรับผู้คนในวันนี้ และคนรุ่นต่อไปในอนาคต