“พุทธิพงษ์” หนุน “ทีโอที-สกพอ.” ร่วมลงนาม MOU เดินหน้าให้บริการโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม รองรับระบบ 5G เสริมความเข้มแข็งการลงทุนใน EEC ยกระดับภาคธุรกิจ และความเป็นอยู่ประชาชนอย่างยั่งยืน
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม เพื่อรองรับ ระบบสื่อสารต่างๆ และเทคโนโลยี 5G ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ว่า ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการใช้โครงสร้างพื้นฐานระบบโทรคมนาคมและดิจิทัล เพื่อรองรับการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยี 5G ที่จะช่วยกลุ่มอุตสาหกรรมลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศเพื่อดึงดูดนักลงทุนผู้ประกอบการทั่วโลกให้สนใจเข้าร่วมลงทุนใน EEC และไม่เป็นการผูกขาดทางธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ทางสกพอ.จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกการดำเนินงาน พร้อมจัดหาโครงการลงทุนที่เกี่ยวข้อง กับ ทีโอที รวมทั้งส่งเสริมด้านสิทธิประโยชน์หน่วยงานรัฐและเอกชนที่ร่วมโครงการดังกล่าว โดยการดำเนินงานในระยะแรก ด้านพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมบริเวณเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ด้านพัฒนาชุมชนโครงการ เมืองอัจฉริยะบ้านฉาง ในพื้นที่เทศบาลตำบลบ้านฉาง จังหวัดระยอง โดยทีโอที มีเป้าหมายดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน และในระยะต่อไปการทำโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมเพื่อรองรับระบบสื่อสารรวมถึงเทคโนโลยี 5G จะดำเนินการคู่ขนานไปกับโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ในพื้นที่ EEC
“5G ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญจะช่วยสนับสนุนและขยายโอกาสการสรรค์สร้างบริการดิจิทัลให้กว้างขวางและครอบคลุมตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้มากขึ้นในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยความเร็วสูงของสัญญาณอินเทอร์เน็ต ให้การใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ มีความแม่นยำสูงและความผิดพลาดน้อยที่สุด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) และระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ (Automation) ซึ่งจะจูงใจให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ EEC รวมทั้งสามารถปรับใช้ในด้านอื่นๆ เช่น ด้านสาธารณสุขให้เข้าถึงการบริการรักษาการวินิจฉัยโรคแม่นยำ ด้านการเกษตรเพาะปลูกพืชได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นมีมูลค่าสูง เก็บรักษาได้ยาวนาน เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นต้น ซึ่งบริการ 5G จะขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ชุมชนครัวเรือนและระดับอุตสาหกรรม สร้างงานสร้างโอกาส ยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ EEC อย่างยั่งยืน”