ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ วัย 66 ปี ทำงานในตำแหน่ง รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มาได้สักพักแล้ว ช่วงที่ผ่านมาก็เดินสายไปพบปะมหาวิทยาลัยทั้งในส่วนกลางและต่างจังหวัดมาตลอด ก่อนหน้านี้ก็ได้เชิญอธิการบดีมากำชับสั่งการให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยดูแลการชุมนุมของนักศึกษา อย่าให้คนภายนอกมาร่วม และห้ามปราศรัยล่วงละเมิดสถาบัน
รมว.อว.ท่านนี้ให้คำแนะนำสำหรับมหาวิทยาลัยในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วว่า มหาวิทยาลัยต้องปรับตัว ให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่ใช่สอน ไม่ใช่วิจัย ไม่ใช่ทำนวัตกรรมเท่านั้น แต่ต้องนำสิ่งเหล่านั้น มาใช้กับโลกที่เป็นจริง โลกแห่งการปฏิบัติ ซึ่งในที่นี้อาจจะหมายถึงภาคเอกชน หมายถึงภาคสังคม หมายถึง ภาคท้องถิ่น หมายถึงภาคต่างประเทศ ต้องทำสิ่งที่เป็นดอกผลของการที่รัฐบาลและสังคมยังได้ให้งบประมาณกระทรวงนี้ ซึ่งเกิดจาก 2 กระทรวงใหญ่ ๆ ทำอะไรมาตั้งหลายสิบปี แล้วก็ต้องนำสิ่งที่เรามีมา ทำให้เกิดประโยชน์กับสังคมเป็นพลังของการพัฒนา
“ไม่ใช่เป็นกระทรวงที่เอาแต่คิดเอาแต่เขียน เอาแต่วิจัย แต่ว่าต้องทำอะไรให้มีผลต่อการพัฒนา ของจังหวัด ของชุมชน ของพื้นที่ได้จริงๆ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายที่สำคัญว่า รัฐมนตรี 1 คนต้องไปรับผิดชอบเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการพัฒนาจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน โดยเฉลี่ยแล้วก็ 1 รัฐมนตรีก็ประมาณ 2-3 จังหวัด ผมว่าอันนี้เป็นนิมิตหมายที่ดี อย่างผมเป็นรัฐมนตรี อว. ถ้าจังหวัดที่ผมดูแลให้คำปรึกษาอยู่ มีปัญหาว่าเขาอยากได้ความรู้ของ อว. เรื่องนั้น เรื่องนี้ ผมก็จะช่วยทันที”
เชื่อว่าคงบางคนอาจจะยังไม่รู้บางมุมของดร.อเนก ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัยมาก่อน อย่างที่เจ้าตัวแจกแจงว่า
“บางคนคิดว่าผมเป็นนักสังคมศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ แต่ว่าที่จริงแล้วเริ่มต้นชีวิตมหาวิทยาลัย ด้วยการเป็นนักเรียนแพทย์ และได้ปริญญาวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพียงแต่ไม่เรียนต่อจนจบแพทยศาสตร์เท่านั้น และมาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 2538-2539 เป็นรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) เคยเป็นคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ. และเป็นนักวิจัย นักคิด เขียนหนังสือออกมาเยอะแยะ 30-40 กว่าเล่ม”
สำหรับวิธีการทำงานเมื่อต้องเจอปัญหาอุปสรรคนั้น ดร.อเนกบอกว่า “ ผมเป็นคนที่เห็นมุ่งที่โอกาส ปัญหามีก็ต้องแก้ไป แต่ว่าเราต้องทำอะไรจากโอกาส ซึ่งถ้ามาเป็นรัฐมนตรี อว. ต้องเห็นโอกาสของประเทศ โอกาสที่กระทรวงนี้จะได้ทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมือง ในแง่หนึ่ง มันเป็นวิกฤติ คือ โควิด แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันเป็นโอกาสของกระทรวง ที่จะได้แสดงฝีมือ เวลาเจอใคร ผมก็ให้กำลังใจ ปลุกเร้าให้กำลังใจ ให้เขาเห็นโอกาสที่ให้มา ซึ่งธรรมะก็ต้องใช้ เพราะธรรมะไม่ใช่เรื่องศาสนาเท่านั้น”
“ เราต้องพิจารณาว่าความสลับซับซ้อนเกิดจากเราเป็นตัวปัญหาจริงๆ เกิดจากจิตใจ หรือว่าวิธีคิดของเรา เวลาเห็นอะไรเกิดปัญหา หรืออะไรเป็นโอกาส ตัวเรามันปรุงแต่ง ฉะนั้นอย่าเห็นปัญหาเป็นปัญหาหมด ต้องเห็นว่าเราปรุงแต่งจิตใจของเราอย่างไรด้วย ต้องปรุงแต่งให้มันแก้ปัญหาได้ เราจะไม่ปรุงแต่งแบบพาตัวเองให้เข้าสู่มุมอับ อันนี้ผมว่าเป็นหลักธรรมะ ซึ่งคนสมัยใหม่ เรียนอะไรก็เอาแต่เรื่องความรู้ ส่วนมากเรื่องปัญญาไม่ค่อยได้เรียน ปัญญาที่สำคัญก็มาจากธรรมะที่ปฏิบัติได้ ผมเองอ่านหนังสือของท่านพุทธทาส และท่านประยุทธ์ ปยุตโต มานานแล้ว”
หลังจากนี้คงต้องติดตามกันว่ารมว.อว.ผู้นี้ จะนำพามหาวิทยาลัยและหน่วยงานต่างๆ ในอว.ไปสู่การพัฒนาตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่.