ตลาดไอทียังได้ไปต่อ วีเอสที อีซีเอส คาดรายได้ปีนี้กว่า 34,000 ล้านบาท แม้ตลาดคอนซูเมอร์ หยุดชะงักเพราะกำลังซื้อหด แต่ภาครัฐและองค์กรขนาดใหญ่ยังจำเป็นต้องใช้ไอทีทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
นายสมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายสินค้าไอทีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า แม้จะมีการคาดการณ์ว่าสองปีหลังโควิด โลกจะใช้ไอทีสูงขึ้นประมาณ 25 % จากการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ที่ทำให้ธุรกิจไอทียังอยู่ในกระแสของความจำเป็นต้องใช้ แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันทั้งอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นให้กำลังซื้อลดลง ส่งผลกระทบต่อตลาดไอทีไทยโดยเฉพาะตลาดคอนซูเมอร์ ที่ในไตรมาส 3 มีการเติบโตลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีคาดว่าในไตรมาส 4 จะดีขึ้นเพราะเป็นช่วงเทศกาล
สำหรับวีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ภาพรวมครึ่งปีแรกบริษัทมีการเติบโต ประมาณ 12 % ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งควรจะโตได้มากกว่านี้ แต่ความรุนแรงของปัญหาการขาดตลาด(shortage) ของสินค้าฝั่งเอนเตอร์ไพรส์ ประเภทเน็ตเวิร์ค ทั้งซิสโก้ อารูบ้า ขาดตลาดอย่างรุนแรง รวมทั้งสินค้าไฮเอนด์เน็ตเวิร์ค เช่น F5, Arista, Cisco, Aruba ที่ทำให้ต้องรอสินค้ากันนานถึง 1 ปี ทำให้การเติบโตน้อยลง แต่ก็ยังโชคดีที่บริษัทมีสินค้าที่สั่งไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วทยอยส่งเข้ามา ซึ่งถ้าของไม่ขาดและยังส่งได้ตามปกติ การเติบโตก็น่าจะโตถึง 16-18 %
“ เราได้รับความร่วมมือจากบริษัทที่เป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ ที่มีความใกล้ชิดและทำโปรเจ็คร่วมกันมานาน อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้โตคือความต้องการใช้ไอทีมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาคธุรกิจรายเล็ก กลางใหญ่ ธนาคาร ภาครัฐทั้งระดับประเทศและท้องถิ่น ต้องการระบบเน็ตเวิร์คที่คุณภาพสูงขึ้น ระบบสตอเรจคุณภาพดี ระบบซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น การทำงานโดยไม่ใช้กระดาษ การทำ E-Signature ซีเคียวริตี้ทีป้องกัน cyber attack พวกนี้จะเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ทั้งหมด”
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า แม้ตัวเลขตลาดคอนซูเมอร์ในครึ่งปีแรกลดลง แต่เป็นเพราะบริษัทมีความใกล้ชิดกับลูกค้ามาก ทำให้ไปกินส่วนแบ่งการตลาดจากคนอื่นมาได้ ทำให้บริษัทยังมีการเติบโตแม้เพียงแค่ตัวเลขหลักเดียวหรือ single digit ก็ตาม ขณะที่ตลาดฝั่ง government ถือเป็นรายได้ก้อนใหญ่มาก เพราะรัฐบาลมีการใช้เงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะเป็นหน่วยงานท้องถิ่น เช่น กทม., อบจ. หรือ อบต ก็ยังมีเม็ดเงิน และโครงการจำนวนมาก
ทั้งนี้ วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) คาดการณ์รายได้ครึ่งปีแรกประมาณ 17,000 ล้านบาท และมีรายได้ประมาณ 34,000 ล้านบาทในปีนี้ หรือมีการเติบโตประมาณ 10-12 % จากปี 2564 ที่ปิดรายได้ทั้งปีที่ประมาณ 31,000 ล้านบาท ส่วนปีหน้าตั้งเป้าการเติบโตที่ 10-15 % จากธุรกิจ 4 กลุ่มหลัก คือ คอนซูเมอร์, คอมเมอร์เชียล, โซลูชัน และดีไวซ์แอนด์ไลฟ์สไตล์ ภายใต้แบรนด์ชั้นนำระดับโลกกว่า 50 แบรนด์ ปัจจุบันวีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) มีสำนักงานสาขาที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และ ราชอาณาจักรกัมพูชา
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การที่บริษัทยังสามารถดำเนินธุรกิจได้แม้อยู่ในช่วงที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากบริษัทได้มีการลงทุนเปลี่ยนระบบภายในองค์กรให้เป็นดิจิทัลตั้งแต่ 2ปีก่อนเกิดสถานการณ์โควิด โดยเริ่มตั้งแต่การทำ E-Document ก่อน จัดทำระบบฐานข้อมูลใหม่ทั้งหมด มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการทำงานได้แบบทุกที่ทุกเวลา เพื่อให้มีการทำงานได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย และได้พัฒนาในส่วน network และ security ซึ่งสามารถสร้างความเชื่อมั่นและเป็นตัวอย่างให้กับลูกค้า ทั้งนี้ในช่วงดังกล่าวบริษัทได้ลงทุนเพื่อพัฒนาระบบภายในบริษัทไปแล้วกว่า 50 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี นอกจากการดำเนินธุรกิจด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไอทีภายใต้แบรนด์ชั้นนำระดับโลกกว่า 50 แบรนด์แล้วในปีนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นใน 3 ธุรกิจใหม่ คือ การเป็น exclusive ของสินค้า HP Multi-Function A3 ที่พร้อมก้าวเป็นศูนย์บริการด้านเครื่องพิมพ์ A3 และโซลูชันที่พร้อมให้บริการแบบครบวงจร การจัดจำหน่ายจักรยานยนต์ไฟฟ้า ที่มีศูนย์บริการและฝึกอบรม รวมถึงการจัดจำหน่ายโซลูชั่นด้านโซลาร์เซลล์ หรือพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ที่กำลังเป็นที่สนใจจากผู้บริโภค