MyCloudFulfillment บริษัทคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจร ผู้ให้บริการ Fulfillment ที่มาพร้อมกับระบบจัดการออเดอร์ (OMS) และระบบจัดการคลังสินค้า (WMS) ช่วยร้านค้าจัดการ เก็บ แพ็ค ส่งสินค้า และเชื่อมต่อ API เข้ากับช่องทางการขายต่าง ๆ ได้แบบอัตโนมัติ
ด้วยรูปแบบบริการที่ยืดหยุ่น มีบริการแพ็คสินค้า ที่สามารถ customize ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น แพ็คแบบพิเศษ ตรวจสอบสินค้า จัดเซ็ท เพิ่มมูลค่าสินค้าที่มากกว่าแค่การรับแพ็คสินค้าทั่วไป อีกทั้งยังช่วยจัดการซัพพลายเชนจัดการคำสั่งซื้อ และนำข้อมูลการขายมาใช้เป็นข้อมูลวิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจ ซึ่งตัวเลขที่ผ่านมา บริษัทมี SKU ในระบบมากกว่า 1 แสนSKUs, มียอดออเดอร์สูงสุดต่อวันถึง 5 หมื่นชิ้น โดยที่ออเดอร์เติบโตขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 6.2 เท่า และ ภายในครึ่งปีที่ผ่านมามีมูลค่าซื้อขายสินค้าผ่านระบบและคลังกว่า 500 ล้านบาท
“นิธิ สัจจทิพวรรณ” กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้ง MyCloudFulfillment บริษัท อี-เอ็มพาวเวอร์เมนท์ จำกัด เล่าว่า จุดเริ่มต้นมาจากการที่อดีตเคยจำหน่ายสินค้าออนไลน์ประเภทจิวเวลรี่บนเว็บไซต์และเฟซบุ๊ก เมื่อปี 2556 ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีสื่อโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย และยังไม่มีการขนส่งที่หลากหลายมากนัก สินค้าจึงขายดีเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพราะด้วยปัญหาโลจิสติกส์ สินค้าเป็นเมดทูออเดอร์ มีการบริหารการค้าออนไลน์แบบไม่ถือสต๊อก ภายหลังจึงทำระบบจัดการออเดอร์ ที่ช่วยจัดการคำสั่งซื้อแบบมีประสิทธิภาพ ประกอบกับธุรกิจดั้งเดิมภายในครัวเรือนทำเรื่องของคลังสินค้า จึงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในด้าน Logistics & Supply Chain Management พนักงานมีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี แต่ด้วยตลาดที่มีการแข่งขันสูงจึงทำให้ธุรกิจคลังสินค้ารูปแบบเดิมต้องปิดตัวลงไป
ดังนั้นในปี 2559 จึงมีการต่อยอดไอเดียธุรกิจคลังสินค้าที่มีอยู่ ประกอบกับความเข้าใจในปัญหาที่พบเจอจากการขายออนไลน์ เพื่อแก้ปัญหาการขายของออนไลน์ให้กับพ่อค้าแม่ค้า ในเรื่องคลังเก็บสินค้า การแพ็คและจัดส่งสินค้า ซึ่งเป็นระบบหลังบ้านที่ยุ่งยาก สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก
“จึงได้พัฒนาบริการคลังสินค้าออนไลน์ ด้วยระบบจัดการคลังสินค้าและจัดการออเดอร์ที่เชื่อมต่อช่องทางขายอัตโนมัติ โดยเจ้าของสินค้าไม่ต้องรับออเดอร์จากหลายช่องทาง พร้อมบริหารสต็อกสินค้าเดียวที่สามารถเชื่อมต่อทุกช่องทางการขายผ่านบริการของ “MyCloudFulfillment” ระบบคลังสินค้าออนไลน์แบบครบวงจร ซึ่งถือเป็นรายแรกๆในประเทศไทย ในการเอาท์ซอร์ส เซอร์วิส ที่เข้ามาปลั๊กอินกับธุรกิจเอสเอ็มอี เพื่อให้ผู้ประกอบการโฟกัสในสิ่งที่เก่งและถนัดได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจให้เติบโต”
ทั้งนี้ “มายคลาวด์ ฟูลฟิลเม้นท์” เป็นคลังสินค้าสำหรับคนที่ขายของออนไลน์ ในการจัดการคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจรตั้งแต่การเก็บ แพ็ค และขนส่ง รวมถึงการเชื่อมต่อช่องทางการขายอัตโนมัติหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ มาร์เก็ตเพลส หรือโซเชียลมีเดีย โดยภารกิจคือต้องการทำให้ร้านค้าบริหารจัดการได้ง่ายและเติบโตอย่างยั่งยืน
นิธิ บอกว่า ในฐานะบริษัทสตาร์ทอัพ มีพนักงานกว่า 150 ราย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะด้วยโควิดเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้การซื้อขายออนไลน์เติบโตขึ้นอย่างมาก พัสดุจากคลังสินค้าจึงพุ่งสูงขึ้นเช่นกันจากเดิมที่มียอดเพียง 4.5 หมื่นออเดอร์ ใน 3 เดือน เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 1.5 แสนออเดอร์
ปัจจุบันแนวโน้มตลาดซื้อขายสินค้าออนไลน์ หรือ อีคอมเมิร์ซทั่วโลก ที่มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Statista คาดการณ์ปี 2563 มูลค่าตลาดทั่วโลกจะอยู่ที่ 75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปี 2562 มีจำนวนผู้ใช้งานมากถึง 3,468 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.6% จากปี 2562 เช่นกัน
“ความน่าสนใจในตลาดอีคอมเมิร์ซ คือรายได้ในปี 2562 ของภูมิภาคเอเชียมูลค่าอยู่ที่ 35 ล้านล้านบาท แต่เมื่อช่วงครึ่งปี 2563 ที่ผ่านมาตลาดอีคอมเมิร์ซของภูมิภาคเอเชียมีมูลค่าอยู่ที่ 45 ล้านล้านบาท เติบโต 29% จากจำนวนผู้ใช้ถึง 2,133 ล้านคน คิดเป็น 61.5% ของผู้ใช้ทั่วโลก สะท้อนขนาดตลาดที่ใหญ่สุดในโลก หากมองเจาะลึกลงไปในภูมิภาคเอเชีย ยังพบว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่น่าสนใจอย่างมากมูลค่าอีคอมเมิร์ซเติบโตสูงสุดถึง 44% ขณะเดียวกันมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.6 แสนล้านบาท ส่วนปีนี้อยู่ที่ 2.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากปีที่ผ่านมาฉะนั้นยิ่งมีอีคอมเมิร์ซเท่าไรเรายิ่งเติบโตมากเท่านั้น”
ขณะเดียวกันอัตราการใช้จ่ายผ่านอีคอมเมิร์ซต่อผู้ใช้ต่อปีของไทยอยู่ที่ 215.67 เหรียญสหรัฐ คิดเป็น 6,752 บาทต่อคนต่อปี ส่วนช่องทางอีคอมเมิร์ซที่เกิดขึ้นในปีนี้จะเห็นได้ว่าที่เติบโตสูงสุดคือ “มาร์เก็ตเพลส” ที่มีการเติบโตสูงถึง 43% เนื่องจากใน1-2 ปีที่ผ่านมาได้มีการทำโฆษณามากมายเพื่อดึงดูดผู้บริโภค ดังนั้นตลาดการซื้อขายสินค้าออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ถือว่าไม่ใช่จุดที่ดีที่สุด แต่อยู่ในจุดที่ “หอมหวาน” ที่สุด เนื่องจากคนไทยชื่นชอบและนิยมการซื้อสินค้าออนไลน์ ใช้จ่ายเฉลี่ยใกล้เคียงกับผู้บริโภคชาวอินโดนีเซีย แต่เมื่อเทียบประชากรแล้ว การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของไทยต่ำกว่ามาก และเมื่อดูกำลังการซื้อขายต่อคนถือได้ว่าเทียบเท่ากับอินโดนีเซีย จึงสะท้อนว่าโอกาสทางการตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยยังมีอีกมหาศาล
สำหรับ บริการหลักของ มายคลาวด์ ฟูลฟิลเม้นท์ จะมี 2 ส่วนคือ 1.คลังสินค้าปล่อยเช่า แบบรายเดือน ซึ่งในคลังสินค้าเจ้าของร้านสามารถนำสินค้ามาเก็บได้ และมายคลาวด์จะให้บริการเก็บของ แพ็คของ ส่งของให้ตามร้านค้า และ2.ระบบจัดการออเดอร์เชื่อมต่อกับช่องทางการขายอัตโนมัติ และจะส่งต่อให้คลังทำงานตามออเดอร์ และเมื่อมาเติมสินค้าเข้าคลังก็จะมีการอัพเดตสต็อคไปที่ช่องทางการขาย ซึ่งจะเป็นการขยายช่องทาง โปรโมชั่น วิธีการขายใหม่ๆเพิ่มขึ้น มีการรองรับจัดการตลอดเวลา
โดย 4 ขั้นตอนใช้บริการ “เก็บ แพ็ค ส่ง” คือ 1. Inbound/Storage นำสินค้ามาเก็บที่คลัง 2. Software ส่งออร์เดอร์ผ่านระบบหรือเชื่อมต่อ API 3. Pick&Pack บริการหยิบและแพ็คสินค้า และ 4. Ship จัดส่งสินค้าตามช่องทางที่ต้องการ
นิธิ บอกว่า จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีการขยายตัว และเป็นขุมทรัพย์ตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล แต่ก่อนจะบุกทำตลาด “ผู้ประกอบการ”ต้องเข้าใจทิศทางตลาดและผู้บริโภคให้ถ่องแท้ โดยจะต้องระมัดระวัง เตรียมตัวรับมือ เพื่อให้สามารถอยู่รอดบนโลกของอีคอมเมิร์ซแห่งอนาคต ทั้งนี้หากเจาะลึกจะมีเพียง 3 ปัจจัยที่ต้องทำความเข้าใจ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างแรกคือ Understand lifestyles not trend ต้องเข้าใจไลฟ์สไตล์ของลูกค้าก่อน ไม่ใช่เทรนด์ 2. Understand journey not channels ต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าก่อนเลือกช่องทาง และUnderstand patterns not numbers ต้องเข้าใจรูปแบบไม่ใช่ตัวเลข เพราะความสำคัญอยู่ที่การเติบโต เพราะการขายสินค้าออนไลน์มีซีซั่น ทั้งนี้การใช้ “ข้อมูล” หรือดาต้า ถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะข้อมูลในอดีตเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการวางแผนงานได้แม่นยำ ทำให้ธุรกิจดีขึ้นกว่าอดีต
ซึ่ง MyCloudFulfillment ในฐานะผู้ให้บริการด้านคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจร มีจุดแข็งด้านดาต้าในกระบวนการ เก็บ แพ็ค ส่ง ที่มีกลยุทธ์สำคัญ 3 ด้านคือ 1. การบริหารจัดการข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า (Order Management Data) ที่สามารถช่วยรวมออเดอร์ของแต่ละช่องทางการขายมาเป็นที่เดียว 2.การบริหารจัดการข้อมูลการเก็บสต็อคสินค้า (Inventory Management Data) ที่สามารถช่วยแนะนำสต็อคสินค้าที่เหมาะสมของแต่ละ SKU ได้ และ3.การบริหารจัดการประสิทธิภาพ การแพ็คและส่งสินค้า (Fulfillment Performance Data) สินค้าแต่ละอย่างมีต้นทุนในการทำโลจิสติกส์ไม่เท่ากันด้วยค่าขนส่ง ค่าน้ำหนัก และค่าDimension ข้อมูลตัวนี้สามารถช่วยให้มองเห็นกำไรและต้นทุนของแต่ละสินค้าแต่ละออเดอร์ได้ ร้านค้าจะทราบได้ว่าสินค้าใดจำหน่ายแล้วได้กำไรดี หรือสินค้าใดจำหน่ายแล้วขาดทุน
ปัจจุบันคลังสินค้าของมายคลาวด์แบ่งออกเป็น 3 แห่งคือ 1.ลาดกระบัง ขนาด 3 พันตารางเมตร 2.รังสิต โดยเป็นคลังสินค้าที่ร่วมกับ SCG บนพื้นที่ 3 พันตารางเมตร ในรูปแบบ OEM 3.สุวรรณภูมิ ขนาด 4 พันตารางเมตรอนาคตตั้งเป้าเพิ่มจำนวนคลังสินค้าในในพื้นที่ภาคกลาง เช่น พิษณุโลก สระบุรี เนื่องจากเป็นฐานการทำงานที่ดี ทั้งด้านการขนส่งส่วนใหญ่ออเดอร์ทั้งหมดที่จำหน่ายออกไปนั้น 70% เป็นการขนส่งสู่ต่างจังหวัด
อย่างไรก็ตามเมื่อการขายของเป็นเรื่องใหญ่ และทุกคนให้ความสนใจ หลังจากนี้ นิธิ มองภาพธุรกิจคลังสินค้าว่าจะไม่ใช่แค่เรื่องภายในประเทศ แต่จะเป็นการขายของทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีการขายข้ามประเทศกันมากขึ้น เพียงแต่การขายข้ามประเทศยังมีต้นทุนสูง และยังล่าช้า ซึ่งแพลนของมายคลาว์ในอนาคตคือ จะขยายการบริหารงานรุกเปิดคลังในต่างประเทศ โดยจะนำร่องที่ เวียดนาม เพื่อผลักดันให้การขายของออนไลน์ของคนไทยสามารถส่งข้ามประเทศได้ และสามารถจำหน่ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ