แม้บริษัทต่าง ๆ ในภาพรวมเล็งจัดสรรงบประมาณการขึ้นเงินเดือนที่อัตรา 5% จากผลการสำรวจในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 หากการสำรวจเชิงลึกชี้ค่ากลางอยู่ที่ 3% อีกทั้งเงินเดือนปี 2563 เพิ่มขึ้นอัตรา 3.7% นับเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่อัตราการเพิ่มเงินเดือนต่ำกว่า 5%
“ขณะเดียวกันเงินเดือนในประเทศไทยถูกคาดการณ์ว่าจะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นในปี 2564 แม้ยังเกิดผลกระทบทางการเงินจากสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยบริษัทต่าง ๆ ในภาพรวมคาดการณ์จัดสรรงบประมาณเพื่อขึ้นเงินเดือนที่อัตรา 5% จากผลการสำรวจช่วงครึ่งแรกของปี 2563 หากการสำรวจเชิงลึกชี้ว่าค่ากลางจะอยู่ที่ 3%”
ข้อมูลข้างต้นมาจากผลการสำรวจอัตราค่าตอบแทนรวมในประเทศไทยประจำปี 2563 (Annual Thailand Total Remuneration Survey (TRS) 2020) โดยเมอร์เซอร์ (Mercer) บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำทางด้านทรัพยากรบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารจัดการพนักงาน ค่าตอบแทนและสวัสดิการสำหรับพนักงาน การเกษียณอายุ และการลงทุน
โดยการสำรวจมีบริษัทเข้าร่วมทั้งหมด 577 บริษัทจากในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทยระหว่างเดือนเมษายนและมิถุนายนของปีนี้ และได้ดำเนินการสำรวจเพิ่มเติมในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเกี่ยวกับสภาพการณ์ตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
นายพิรทัต ศรีสัจจะเลิศวาจา Career Products Business Leader บริษัท เมอร์เซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน บริษัทต่าง ๆ มีการตรวจสอบและทบทวนงบประมาณสำหรับการขึ้นเงินเดือนอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น โดย 2 ใน 5 ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจระบุว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออัตราการขึ้นค่าตอบแทนปี 2563 ที่บริษัทวางแผนไว้อย่างมีนัยสำคัญ
“โดยอัตราการขึ้นเงินเดือนที่ประมาณการไว้นี้เกิดขึ้นจากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ถดถอย โดยคาดว่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) จะลดลง 7.8% ในปี 2563 แม้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้น 3.5% ในปี 2564 ก็ตาม หากอนาคตก็ยังคงไม่แน่นอน” พิรทัต กล่าว
ในขณะที่บริษัทเพียง 22 บริษัทจาก 577 แห่งที่ร่วมการสำรวจครั้งนี้รายงานว่าไม่มีการขึ้นเงินเดือนในปี 2563 ค่ากลางของอัตราการขึ้นเงินเดือนของปี 2563 ปรับลดลงอยู่ที่ 3.7% เมื่อเปรียบเทียบกับที่ตั้งงบประมาณไว้ที่ 4.8% จึงถือเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่อัตราการขึ้นเงินเดือนต่ำกว่า 5% ซึ่งผลกระทบนี้แตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม
พิรทัต กล่าวอีกว่า การขึ้นเงินเดือนในอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น อุตสาหกรรมไฮเทค อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิต และอุปกรณ์การโลจิสติกส์ มีอัตราการขึ้นเงินเดือนสูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมเนื่องจากลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมนั้น ๆ โดยอุตสาหกรรมไฮเทคนั้นมีอุปสงค์เพิ่มสูงขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน (New way of work) ในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์นั้นมีสหภาพแรงงานที่แข็งแกร่งจึงทำให้อัตราการขึ้นเงินเดือนยังอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากการหดตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน มีอัตราการขึ้นเงินเดือนน้อยที่สุดที่ 2.5 %
“เมื่อพิจารณาโดยรวม โบนัสตามงบประมาณยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 2.3 เท่าของเงินเดือน เมื่อเปรียบเทียบกับ 2.2 เท่าของเงินเดือนในปี 2562 โดยอุตสาหกรรมไฮเทคและเคมีภัณฑ์ยังคงมีอัตราสูงสุด โดยมีบริษัทเพียง 5% ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจที่ไม่มีการให้โบนัส ซึ่งแนวโน้มในอนาคตอันใกล้ 28 % ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจคาดว่าการจ่ายโบนัสในปี 2564 จะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ในขณะที่ 39 % ยังไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องของโบนัสได้ ณ ขณะนี้ และมีบริษัทเพียง 5% ที่คาดว่าจะเพิ่มงบประมาณสำหรับโบนัสในปี 2564” พิรทัต กล่าว
ด้าน “จักรชัย บุญยะวัตร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมอร์เซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าหากพิจารณาในทุกแง่มุม บริษัทต่าง ๆ ยังคงอยู่ในสถานะของการเฝ้าจับตาและรอคอย โดยเฝ้าติดตามและตรวจสอบสถานการณ์ต่างๆอย่างใกล้ชิดไปพร้อมทบทวนกลยุทธ์การจ่ายค่าตอบแทนของบริษัทในปี 2564 โดยบริษัทส่วนใหญ่มีมุมมองต่อการจ้างงานในเชิงบวกโดยเฉพาะในตำแหน่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจและงานที่ไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยเทคโนโลยีหรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายใต้สถานการณ์ที่ยังคงไม่แน่นอนในปีนี้ กลับมีธุรกิจที่เพิ่มจำนวนพนักงานมากกว่าธุรกิจที่พยายามลดพนักงาน
และคาดว่าภายในสิ้นปี 2563 บริษัทกว่า 23% ที่ร่วมทำการสำรวจครั้งนี้จะมีการเพิ่มพนักงานใหม่ โดยมี 19% ที่ระบุถึงแผนการสรรหาพนักงานในปี 2564
ในขณะที่อนาคตยังคงแขวนอยู่บนความไม่แน่นอน บริษัทต่างมีความกังวลต่องบประมาณทางด้านบุคลากร เมอร์เซอร์สนับสนุนให้บริษัทใช้เวลา และพิจารณาแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงานแบบองค์รวมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งบริษัทควรใช้โอกาสนี้ทบทวนกลยุทธ์การจ่ายค่าตอบแทนแบบองค์รวมและมองให้ละเอียดกว่าการจ่ายค่าตอบแทนเป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว โดยพิจารณาถึงคุณภาพชีวิตโดยรวมของพนักงานให้พัฒนาทั้งความก้าวหน้าในอาชีพ และมีสุขภาพกายและใจที่ดี ความผูกพันของพนักงานที่มีต่อบริษัท และการรักษาพนักงานให้อยู่กับบริษัทจะกลายเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าที่เคยบนเส้นทางแห่งการฟื้นฟูธุรกิจของบริษัท
“การสำรวจอัตราค่าตอบแทนรวมโดยเมอร์เซอร์ (Mercer’s Total Remuneration Survey) คือการสำรวจและศึกษาของเมอร์เซอร์เกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนประจำปีและการกำหนดมาตรฐานผลประโยชน์ ซึ่งระบุถึงแนวทางการจ่ายค่าตอบแทนและนโยบายเรื่องผลประโยชน์ในปัจจุบัน รวมถึงงบประมาณ แนวโน้มการจ้างงานและการเข้าออกของพนักงานในปีถัดไป นอกจากนี้ เมอร์เซอร์ยังทำการสำรวจย่อยอย่างสม่ำเสมอตลอดปีเพื่อติดตามผลกระทบจากสภาพธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงการจ่ายค่าตอบแทนและแนวโน้มด้านแรงงาน” จักรชัย กล่าว
ทั้งนี้เมอร์เซอร์คือ ผู้ให้คำปรึกษาและนำเสนอเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาและช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพ การเงินและอาชีพของบุคลากรที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมอร์เซอร์มีพนักงานกว่า 25,000 คน ใน 44 ประเทศทั่วโลก โดยบริษัทดำเนินธุรกิจในประเทศต่างๆ มากกว่า 130 ประเทศ เมอร์เซอร์เป็นบริษัทในเครือ Marsh & McLennan Companies (NYSE: MMC) ผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านความเสี่ยง กลยุทธ์ และบุคลากร ด้วยพนักงานกว่า 76,000 คน และรายได้ต่อปีมากกว่า 17,000 พันล้านเหรียญสหรัฐ Marsh & McLennan ช่วยสนับสนุนธุรกิจของลูกค้าในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและความซับซ้อนผ่านบริษัทชั้นนำในเครือ ซึ่งได้แก่ Marsh, Guy Carpenter และ Oliver Wyman