นักวิจัยไทยย้ำความสำคัญของการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ช่วยปกป้องผลงานและสร้างโอกาสในการขยายสู่ตลาดโลกได้ ด้านอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา แนะควรให้ความรู้เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาตั้งแต่วัยเด็กจนถึงระดับมหาวิทยาลัย
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.)กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.)ได้มีการจัดกิจกรรมการเสวนาเรื่อง ” จัดการทรัพย์สินทางปัญญายังไง? ให้สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมไทยบุกตลาดโลก” โดยมี นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมด้วยศาสตราจารย์ ดร.สนอง เอกสิทธิ์ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยดีเด่นและผู้เชี่ยวชาญในวงการวิจัยและนวัตกรรมรวมถึงสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ของประเทศไทย ร่วมเสวนา ณ เวทีกลาง อีเว้นท์ฮอลล์ 101 ศูนย์นิทรรศการและการประขุมไบเทคบางนา
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญากล่าวว่า ทรัพย์สินทางปัญญา คือ ทรัพย์สินที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่ทำให้เกิดมูลค่าและเกิดคุณค่า ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ เครื่องหมายทางการค้า ลิขสิทธิ์ และสิทธิบัตร ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเป็นอะไรก็ตามที่เกิดการประดิษฐ์ คิดค้นขึ้นมาใหม่ แล้วมีการจดทะเบียน ทั้งนี้เป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว ที่ประเทศไทยเติบโตจากประเทศรายได้น้อยมาสู่ประเทศรายได้ปานกลาง แม้ว่ารัฐบาลพยายามที่จะขับเคลื่อนประเทศไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง แต่ก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามกับดักดังกล่าวได้ ซึ่งสาเหตุมีหลายปัจจัย ทั้งโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ดัชนีขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะเป็นธนาคารโลกหรือไอเอ็มเอฟ ต่างชี้ตรงกันว่า ประเทศไทยขาดทรัพย์สินทางปัญญาที่เรียกว่าองค์ความรู้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นของตัวเอง ดังนั้นการที่ประเทศไทยจะก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางได้นั้น ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งคือการที่เราจะต้องมีองค์ความรู้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นของตนเอง
นอกจากนี้ยังควรให้ความรู้เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาตั้งแต่วัยเด็ก ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยที่ควรเรียนในทุกคณะ ซึ่งในประเทศที่เจริญแล้วจะสอนให้เด็ก ๆ ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองประดิษฐ์ได้ คิดได้ เป็นสมบัติของตัวเอง และจะให้ความสำคัญกับคนที่เป็นเจ้าของสิทธิ์อย่างมาก
ด้านศาสตราจารย์ ดร.สนอง เอกสิทธิ์ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความจำเป็นของการจดทรัพย์สินทางปัญญาในมุมของนักวิชาการว่า นักวิชาการมีหน้าที่หลัก ๆ คือ ผลิตผลงานทางวิชาการเพื่อตีพิมพ์ ผลงานที่ออกมามีทั้งแบบที่ขายได้และขายไม่ได้ ซึ่งผมนอกจากสอนหนังสือและตีพิมพ์แล้ว มองว่ายังมีผลงานบางชิ้นที่มีโอกาสที่จะต่อยอดเชิงพาณิชย์ นำไปใช้ประโยชน์ได้ เพราะมีความใหม่เชิงวิชาการ ทำให้เริ่มคิดที่จะมองถึงการป้องกันทรัพย์สินทางปัญญาของตนเอง
“ผลงานในส่วนของนักวิชาการอย่างผมจะมี 2 ส่วนหลักคือ เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะและเพื่อผลประโยชน์ จากการศึกษาค้นคว้าเชิงลึกของนักวิจัยที่จะนำไปสู่การตีพิมพ์ทางวิชาการนั้น ระหว่างทางก็มีบางสิ่งมีโอกาสที่จะนำไปต่อยอดทางธุรกิจ เช่น การศึกษาการสังเคราะห์วัสดุนาโน รวมถึงศึกษาโครงสร้างซึ่งมีการตีพิมพ์ผลงานต่าง ๆ แต่ว่าในระหว่างนั้นมีการศึกษาเรื่องกระบวนการผลิตที่ดี มีประสิทธิภาพ ใช้พลังงานน้อยลง หรือมีคุณสมบัติใหม่ เช่น เปลี่ยนสีได้ ซึ่งสิ่งที่เป็นคุณสมบัติเหล่านี้ มีโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์จึงต้องแบ่งหมวดองค์ความรู้เหล่านี้ออกมา เพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ด้วยการจดสิทธิบัตร”
ศาสตราจารย์ ดร.สนอง กล่าวอีกว่า มองทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของนักวิจัย ซึ่งไม่ว่าจะสามารถสร้างเงินได้หรือไม่ได้ ผลงานนั้นๆ ก็สามารถทำให้นักวิจัยรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองมากขึ้น มีคุณค่าที่สามารถค้นพบอะไรใหม่ ๆ อย่างเช่น งานวิจัยด้านนาโนของตนเอง ที่ใช้เวลาศึกษาเชิงลึกประมาณ 5 ปี มีการตีพิมพ์และศึกษาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการนำผลงานต่าง ๆ มาเผยแพร่ อย่างเช่นในเวทีของ วช. ซึ่งเป็นการประกวดนวัตกรรมต่าง ๆ ทำให้ภาคเอกชนรู้สึกว่าคนไทยสามารถทำได้ จากสิ่งที่เคยต้องนำเข้าราคาแพงจากต่างประเทศ จึงคิดว่านักวิจัยจะต้องนำเอาผลงานเหล่านี้ออกมาสู่สายตาประชาชน ซึ่งก่อนจะเผยแพร่ได้นั้น จำเป็นต้องผ่านการตีพิมพ์ และมีการจดสิทธิบัตร ซึ่งสิทธิบัตรนั้นนอกจากจะทำให้สามารถปกป้องผลงานของเราได้แล้ว ยังทำให้ไม่เกิดซ้ำซ้อน เพราะนักวิจัยอื่น ๆ ก็ต้องปกป้องผลงานของเขาเช่นกัน จึงต้องมีการสืบค้นว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้น ซ้ำกับงานวิจัยของผู้อื่นที่ทำอยู่ก่อนหรือไม่ และที่สำคัญการจดสิทธิบัตร จะเป็นตัวช่วยให้บริษัทไทยที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ขยายตลาดออกนอกประเทศไทย โดยสามารถป้องกันทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเองไว้ได้
สำหรับการเสวนาดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในงาน วันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 ซึ่งสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 6 กุมภาพันธ์ 2566 ณ อีเวนท์ ฮอลล์ 100-102 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา