วันนี้…ปฏิเสธไม่ได้ถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัล ที่กลายมาเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้กับองค์กรธุรกิจ รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยต่าง ๆ สามารถก้าวข้ามวิกฤตจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อย่างเช่น ภัยพิบัติ หรือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปได้ และหากยังองค์กรใดยังไม่มีการเตรียมความพร้อม 3 ปีที่ผ่านมา “ โควิด -19 ” จะเป็นบทเรียนและตัวเร่งให้หันมาทำ “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น” (Digital Transformation) อย่างเร่งด่วน และพร้อมที่จะเปิดรับ “ดิจิทัลโซลูชัน” เข้ามาเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจในก้าวต่อ ๆ ไป ให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ปลอดภัย ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS หรือ AIS Business กล่าวว่า “3 ปี ที่เราอยู่กับการระบาดของโควิด-19 ทำให้องค์กรส่วนใหญ่ได้ปรับตัวรับผลกระทบจนพร้อมที่จะเดินหน้าต่อในบริบทของโลกหลังโควิดแล้ว และแน่นอนว่าพร้อมเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้วยการทำ Digital Transformation เพื่อสร้างโอกาสทางการแข่งขันและพัฒนานวัตกรรมเพื่อการเติบโตของธุรกิจมากขึ้น ประกอบกับเทรนด์การใช้งานเทคโนโลยีในปีนี้องค์กรมุ่งไปที่การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีให้มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ในการจัดการ ควบคุม ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลตามกรอบกฎหมายที่ประกาศใช้ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีกระแสเรื่องของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และมีการบริหารจัดการที่ดี ทั้งหมดนี้ทำให้ “ดิจิทัลโซลูชัน” ได้กลายเป็นปัจจัยหลักที่จะเข้ามาช่วยองค์กรสร้างความพร้อมสู่การเติบโตควบคู่กับความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจได้”
..และ AIS ก็เป็นหนึ่งในองค์กรธุรกิจที่เห็นความสำคัญของ “ Digital Transformation”
นายธนพงษ์ กล่าวว่า ปี 2565 ที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายของ AIS แต่ด้วยการขับเคลื่อนจากโควิด-19 ทำให้เกิดการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ ส่งผลให้ AIS Business สามารถสร้างการเติบโตต่อเนื่องได้ถึง 26 % จากปีก่อน โดยมีลูกค้าที่ใช้งาน 5G ในเชิงธุรกิจ มากกว่า 2 แสนราย การเชื่อมต่อเครือข่ายในฝั่งไฟเบอร์ มีมากกว่า 70,000 ราย และที่สำคัญคือ การเติบโตของผู้ใช้คลาวด์ ที่ยังเติบโตต่อเนื่องมากกว่า 200 % คิดเป็นองค์กรมากกว่า 3,000 ราย
และจากการสำรวจล่าสุดของ Global Data ที่รวบรวมจากกลุ่มธุรกิจชั้นนำกว่า 200 องค์กร AIS ได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้นำด้าน ICT Service Provider อันดับ 1
อย่างไรก็ตาม จากภาพรวมสถานการณ์ตลาดและเทรนด์ในการทำ Digital Transformation ที่เกิดขึ้น ปีนี้ AIS Business ยังคงมุ่งเน้นสร้าง “ Digital Business Ecosystem ” ให้มีความสมบูรณ์แบบ สามารถตอบโจทย์การทำงานทุกองค์กรได้ในทุกมิติ ผ่าน 5 กลยุทธ์หลัก คือ การเชื่อมต่อ 5G Ecosystem เพื่อการทำงานของภาคธุรกิจอย่างรอบด้าน ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายในการสร้าง Digital Partner การยกระดับการทำงานของโครงข่ายด้วย Intelligent Network เพื่อบริการและสนับสนุนความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้า การมุ่งเสริมความสมบูรณ์ของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและแพลตฟอร์ม เพื่อรองรับโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น การเสริมอาวุธด้านการตลาดและเพิ่มโอกาสการเติบโตด้วย Data-driven Business เพื่อเปลี่ยนข้อมูลทั่ว ๆ ให้เป็นข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และการส่งมอบบริการด้วยทีมงานมืออาชีพที่ไว้วางใจได้ ซึ่ง AIS ยังคงให้ความสำคัญเรื่อง “คน” อย่างต่อเนื่อง มีการ Re-Skill เพิ่มทักษะกับพนักงานให้พร้อมรับกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากขึ้น
ด้วยความพร้อมของโครงข่ายอัจฉริยะ 5G แพลตฟอร์มคลาวด์ ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ รวมถึงการบริหารจัดการข้อมูลอัจฉริยะ ทำให้ AIS Business สามารถตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมได้อย่างหลากหลายและครอบคลุมทั้งด้าน “ Growth ” ที่เร่งการเติบโตของธุรกิจโดยสร้างขีดความสามารถใหม่ ๆ ด้วยเครื่องมือทางดิจิทัล ที่เพิ่มความคล่องตัวด้วยศักยภาพของ AIS 5G และ Cloud platform รวมถึงการบริหารจัดการข้อมูลอัจฉริยะ และการสร้างโซลูชันใหม่ ๆ “Trust” บริการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเชื่อถือได้ ซึ่งสอดรับกับกฎระเบียบของการใช้งานที่ปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดของแต่ละอุตสาหกรรม และ “Sustainability” การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมเพื่อธุรกิจอย่างยั่งยืน ที่ AIS Business พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในกลไกสำคัญของการเสริมนวัตกรรมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม นับตั้งแต่การสร้างระบบนิเวศสำหรับการพัฒนานวัตกรรมร่วมกับพันธมิตร การสร้างโซลูชั่น การบริหารจัดการ การลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอน คาดการณ์การใช้ลังงานไปจนถึงการวางแผนการผลิตได้อย่างเหมาะสมควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
สำหรับจุดเด่นของ AIS Business นายธนพงษ์บอกว่า อยู่ใน 3 เรื่องหลัก คือ AIS 5G NEXTGen Platform แพลตฟอร์มนวัตกรรม 5G ที่รวมศูนย์การบริหารจัดการทั้ง 5G, Edge Computing ,Clouds และ Applications มาไว้ที่จุดเดียวแบบ One Stop ธุรกิจสามารถสร้าง 5G โซลูชันที่เหมาะกับความต้องการได้แบบง่าย ๆ สะดวกและยืดหยุ่น สามารถเห็นภาพรวมของการใช้งาน และปรับเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้เหมาะกับงบประมาณ และความต้องการในแต่ละช่วงเวลา
AIS Cloud X ระบบนิเวศคลาวด์อัจฉริยะ ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการคลาวด์ได้อย่างยืดหยุ่น รองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ นอกจากนี้ยังรองรับ “Sovereign Cloud” เทรนด์ใหม่ของโลกในการมีอธิปไตยในการเข้าถึงข้อมูล ซึ่ง AIS ได้ร่วมมือกับ VMware ในการเป็น Partner ผู้ให้บริการ Sovereign Cloud รายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเก็บข้อมูลในประเทศ
และ ความร่วมมือของเอไอเอสกับพันธมิตร ที่ครอบคลุมในการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ
“ปัจจุบัน AIS Business มีพันธมิตรใน Ecosystem ทั้งระดับโลกและในประเทศ เราทำงานร่วมกันอย่างดี โดยจะเน้นคำว่า “Partner” มากกว่าคำว่า “คู่ค้า” เพราะไม่ใช่แค่เรื่องการขายของ แต่ทุกครั้งเราจะถามว่า เราจะไปด้วยกันอย่างไร ซึ่งเราเชื่อเรื่อง Partnership ที่จะสร้าง The Best Solution โดยครอบคลุมไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรในด้านเทคโนโลยี องค์กรภาครัฐ รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ”
ยกตัวอย่างลูกค้าที่เป็น Reference ด้าน SD- WAN Product & Solution ซึ่ง AIS Business สามารถ Integrate Wireless หรือ 5G กับ Fix Line ให้ลูกค้า 2 กลุ่มทั้งบริษัท SSI และ Easy Buy โดยลูกค้าสามารถมีแอพพลิเคชั่น 100 % ที่ใช้บนเครือข่ายต่าง ๆได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพรวมถึงใช้การเชื่อมต่อได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมี Use Case 5G ทั้งของ SCG ที่ AIS เคยเข้าไปทำเรื่อง Forklift ไร้คนขับในปีแรก ๆ และในปีที่ผ่านมา AIS ประสบความสำเร็จร่วมกับ SCG ในการที่จะนำโซลูชันที่เป็น Unman Mining หรือการทำเหมืองโดยไม่ใช้คน มาใช้ มีการเปลี่ยนจากรถบรรทุกที่ใช้น้ำมันดีเซลมาเป็นรถบรรทุกไฟฟ้า ใช้ 5G ในการควบคุม และทำงานแบบไร้คนขับ ซึ่งสิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่พนักงานยังมีความปลอดภัยสูงขึ้น และยังสร้างจุดขายให้กับผลิตภัณฑ์ในอนาคตอีกด้วย
ส่วนกรณีบริษัทสมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ จำกัด (มหาชน) มีการใช้เทคโนโลยี Smart Manufacturing ซึ่งนำ 5G มาใช้ในโรงงาน มีการทำงานร่วมกันกับพาร์ทเนอร์ ชื่อ “เซี่ยซัน” (Siasun Robot & Automation Co.Ltd หรือ SIASUN) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในประเทศจีนในการสร้างโซลูชันขึ้นมา และทำงานร่วมกับหัวเว่ยในการนำ 5G มาประยุกต์ใช้กับหุ่นยนต์และเทคโนโลยีวิดีโอ ด้วยเทคโนโลยี 5G ทำให้สแกนเห็นภาพได้ หุ่นยนต์สามารถทำงานได้หลากหลาย และแม่นยำโดยไม่ต้องกำหนดจุดหรือบังคับให้ทำงานตามเส้นทางที่กำหนด ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการปรับสายการผลิตของผู้ประกอบการ
นายธนพงษ์ บอกอีกว่า Use Case ในอนาคตจะมีการเปิดตัวออกมาอีกเรื่อย ๆ โดยเกิดจากการที่ AIS เดินเข้าไปหาลูกค้าที่มีความท้าทายอะไรใหม่ และนำมากรุ๊ปรวมหาพันธมิตร พร้อมขับเคลื่อนเพื่อสร้างเป็นนวัตกรรมขึ้นมา
การก้าวสู่ปีที่ 33 ของ AIS ที่มีเป้าหมายในการเป็นพันธมิตรดิจิทัลเพื่อธุรกิจและสังคมไทย ในปี 2566 นี้ AIS Business ยังคงเดินหน้าสร้างการ “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” ให้กับลูกค้าทั้งภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ SME ในการทำ Digital Transformation ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม และพร้อมตอบโจทย์ทุกความท้าทายขององค์กรธุรกิจ ให้สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน.