วศ.เปิดเวทีแนะนำ“NQI” ช่วยยกระดับระบบอาหารของประเทศ

News Update

วศ.เปิดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ : NQI for food system แนะนำการนำระบบโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศไปใช้ในการยกระดับระบบอาหาร พร้อมโชว์ผลงานวิจัยด้านการรับรองมาตรฐานในงาน “มหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม 2566” หรือ “TRIUP FAIR 2023” ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน

               เมื่อวันที่18 กรกฎาคม 2566  ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ภายในงานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม 2566 หรือ “TRIUP FAIR 2023” กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้จัด “การเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้: NQI for food system” ซึ่งเป็นการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการนำระบบโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ (National Quality Infrastructure: NQI ) ไปใช้ในการยกระดับระบบอาหารของประเทศให้มีคุณค่าทางคุณภาพมากยิ่งขึ้น

               ทั้งนี้กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) มีระบบโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพในส่วนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารหรือกระบวนการผลิตอาหาร การทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร การทดสอบความชำนาญการตรวจสอบคุณภาพอาหารในห้องปฏิบัติการ และการสอบเทียบเครื่องมือวัดในห้องปฏิบัติการอาหารและโรงงานผลิตอาหาร ซึ่งได้มีการดำเนินการอย่างเชื่อมโยงและสอดคล้องกันในระบบ NQI  สามารถตรวจสอบและรับรองคุณภาพวัตถุดิบอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารอย่างมีประสิทธิภาพ  ผู้บริโภคได้รับอาหารที่มีคุณภาพและความปลอดภัย ตลอดจนผู้ประกอบการอาหารสามารถผลิตสินค้าอาหารที่มีคุณภาพ  เป็นการยกระดับระบบอาหารของประเทศให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน

               ในการเสวนาฯ “คุณเยาวลักษณ์  ชินชูศักดิ์” ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการทดสอบความชำนาญห้องปฏิบัติการ วศ. กล่าวว่า NQI  เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ ซึ่งเกิดจากนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากการวิจัย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดย NQI ด้านวิทยาศาสตร์จะมีการดำเนินงานใน 5 ด้าน ได้แก่ มาตรวิทยา การกำหนดมาตรฐาน การรับรองระบบงาน การตรวจสอบและรับรอง และการกำกับดูแลตลาด ซึ่งกลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลกของประเทศให้ดีขึ้นนั้น จะประกอบด้วย การขับเคลื่อนและความตระหนักรู้ด้าน NQI เพื่อส่งเสริมและพัฒนาบุคลากร  การขับเคลื่อนมาตรฐานจากการวิจัยพื้นฐานและการพัฒนาวิธีทดสอบ  ขับเคลื่อนระบบการวัด  ขับเคลื่อนมาตรฐานทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและได้มาตรฐานตามที่กำหนด  ขับเคลื่อนพัฒนาหน่วยตรวจสอบและรับรอง และขับเคลื่อนการรับรองคุณภาพห้องปฏิบัติการ  ซึ่งทั้ง 6 กลไกนี้ วศ.ได้มีการดำเนินการครบในทุกรูปแบบ

               อย่างไรก็ดีการจัดระบบ NQI ให้มีเหมาะสมและมีประสิทธิผล จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์และบริการในท้องตลาดเป็นไปตามกฎระเบียบทั้งด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภาคธุรกิจซึ่งส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีการพัฒนากระบวนการในการดำเนินธุรกิจทั้งการผลิต จำหน่ายและส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นไปตามข้อกำหนด ขณะที่ภาคสังคมจะช่วยให้เกิดการแข่งขันทางการตลาดอย่างเท่าเทียม โดยมุ่งเน้นสร้างความมั่นใจในคุณภาพและความน่าเชื่อถือสร้างโอกาสให้กับผู้ซื้อผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป  ส่วนด้านเทคโนโลยีจะส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมในการผลิตและบริการใหม่  เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปสู่ห่วงโซ่การผลิตและการตลาดในทุกระดับ ซึ่งหากมีการจัดระบบ NQI  อย่างเหมาะสมแล้วจะช่วยลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนได้

               ด้าน “ดร.จิราภรณ์  บุราคร”  นักวิทยาศาสตร์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กองผลิตภัณฑ์อาหารและวัสดุสัมผัสอาหาร วศ. กล่าวว่า  ในระบบอาหาร หรือ  food system นั้น จะขาดระบบคุณภาพไม่ได้เลย ซึ่งในทุกกระบวนการผลิตอาหารตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ จะมี  NQI เข้ามาเกี่ยวข้องเพราะตอบโจทย์ผู้บริโภคในเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัย และในแต่ละกระบวนการผลิต วศ.ได้เข้าไปตอบโจทย์ด้วยบริการที่หลากหลาย เช่น ด้านการกำหนดมาตรฐาน (SDO สำหรับ สมอ.)รับรองห้องปฏิบัติการ ด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ฟิสิกส์ เคมี  การทดสอบสินค้าเกษตร อาหาร การวิจัยด้านบรรจุภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ยังมีฐานข้อมูลด้านอาหารอีกด้วย

               สำหรับมุมมองเกี่ยวกับระบบอาหารและความท้าทายของ วศ.ในงานด้าน NQI ในอนาคต   ดร.จิราภรณ์  กล่าวว่า ในเรื่อง NQI ขณะนี้ วศ.มียุทธศาสตร์ด้านอาหาร 2 ด้านคือ  การยกระดับ NQI ในด้านอาหารเพื่อสร้างคุณค่าของระบบอาหารของประเทศ  และการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหาร ซึ่งอาหารที่ วศ.พัฒนาจะมุ่งเน้นที่ “สมาร์ทฟู๊ด” ซึ่งเป็นอาหารที่ตอบโจทย์ด้านความมั่นคงทางอาหาร  มีความปลอดภัย  มีคุณค่ามากขึ้น และมีความทันสมัย

               ขณะที่ “คุณขนิษฐา  อินทร์ประสิทธิ์” หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยและพัฒนาอาหารแปรรูป   กองเทคโนโลยีชุมชน วศ. กล่าวว่า อุตสาหกรรมอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ซึ่งข้อมูลที่ผ่านมาในรอบ 10 ปีจะเห็นว่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  แม้จะมีการชะลอตัวบ้างในช่วงโควิด-19 ซึ่งจากฐานข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ระบุมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารไทยเดือนเมษายน 2566 มีมูลค่า 143,631 ล้านบาท  ขยายตัวเพิ่มขึ้น 24.4 %  โดยสิ่งที่น่าสนใจสำหรับอุตสาหกรรมนี้คือ  อัตราส่วนสินค้าของไทยที่สามารถส่งออกได้ และที่เป็นตลาดภายในประเทศในกลุ่มของวัตถุดิบ และวัตถุดิบที่มีการแปรรูปขั้นต้นซึ่งมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ  

               ทั้งนี้ในอุตสาหกรรมอาหารควรมองทั้งระบบห่วงโซ่อุปทาน หรือ Food Supply Chain  ซึ่งระบบมีความซับซ้อนและใหญ่มาก ไม่สามารถจัดการกับระบบอาหารโดยใช้โซลูชั่นเดียวได้ จึงต้องมีการจัดการในเชิงบูรณาการทั้งกระบวนการของธุรกิจ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยง ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การรวบรวม การแปรรูป การกระจายสินค้า การขนส่ง การบริโภคและการค้าปลีก

               “ เรื่องของ Food Supply Chain  เมื่อก่อนจะมีการพูดถึงเรื่องของ Farm to Table  ซึ่งเน้นเรื่อง Food Safety  แต่ปัจจุบันเรากำลังพูดถึง Farm to Fork ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องของ  Food Safety  อย่างเดียว แต่ยังเป็นการสร้างระบบการผลิตอาหารที่เป็นธรรม ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม  ทำอย่างไรให้การจัดการอาหารเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการสูญเสียอาหารในตลอดห่วงโซ่อุปทานและสร้างความมั่นคงของอาหารเพิ่มขึ้น  โดยในห่วงโซ่อุปทานทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำนั้นจำเป็นต้องมีการควบคุมมาตรฐาน ตรวจสอบมาตรฐานและการกำกับตามมาตรฐานในทุกกระบวนการ ซึ่งวงการอาหารเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายในการเข้ามาและอยู่ได้นาน ปัจจุบันมีเกณฑ์กำหนดและตัวชี้วัดในเรื่องของความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้น และไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างเดียว แต่ยังต้องใส่ใจในเรื่องของการรักษ์โลก และสร้างอัตลักษณ์อีกด้วย”

               ส่วนด้านการวัด “คุณฐานันดร พิทักษ์เกียรติ” นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการ  กองสอบเทียบเครื่องมือวัด  วศ.กล่าวว่า    มาตรวิทยาหรือการวัดมีบทบาทสำคัญสำหรับการสนับสนุนอุตสาหกรรมด้านอาหาร ซึ่งการวัดเป็นกระบวนการหนึ่งในหลายๆกระบวนการที่สร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ก่อนถึงผู้บริโภค โดยการวัดจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ภาคเกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์ การเก็บรักษา การแปรรูป การขนส่ง การจัดจำหน่ายร้านค้า จนถึงมือผู้บริโภค

 

               อย่างไรก็ดีภายในงาน “TRIUP FAIR 2023” กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) ยังมีการนำเสนอผลงานวิจัยในบูธนิทรรศ ฯ ในโซนการรับรองมาตรฐาน และกฎหมาย/กฎระเบียบ  ซึ่งมีผลงานที่น่าสนใจ เช่น โครงการพัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการทดสอบวัตถุดิบและสารสกัดสมุนไพรเพื่อรองรับการจัดทำมาตรฐานสารสกัดสมุนไพร  ซึ่ง วศ.เป็นหน่วยงานที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นองค์กรกำหนดมาตรฐาน(SDOs)ประเภทขั้นสูง ในสาขาผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากสมอ. ซึ่งได้เล็งเห็นความสำคัญในการควบคุมคุณภาพสารสำคัญในพืชกระท่อม โดยได้มีการศึกษาวิธีการสกัด วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญในตัวอย่างพืชกระท่อม รวมถึงทดสอบความใช้ได้ของวิธีการวิเคราะห์ต่าง ๆ  นอกจากนี้ยังมีนำเสนอการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน:ภาชนะสัมผัสอาหารจากธรรมชาติกาบหมาก การพัฒนาห้องปฏิบัติการทดสอบวัสดุและอุปกรณ์การแพทย์และการรับรองงานห้องปฏิบัติการอีกด้วย

               สำหรับงานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม 2566 หรือ “TRIUP FAIR 2023”  สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)  ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) และภาคเอกชน จัดขึ้นภายใต้แนวคิด   “Journey to Impact : เส้นทางจากงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ” เพื่อเป็นกลไกหนึ่งที่ทำให้เกิดระบบการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์  โดยในงานมีการนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่พร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์กว่า 300 ผลงาน มีบริการให้คำปรึกษาจากหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 60 หน่วยงาน การอบรมเกี่ยวกับการรับรองมาตรฐานรวมถึงการจับคู่ธุรกิจ   งานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่18-19 กรกฏาคม 2566  ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน