จากข่าวการใช้ความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน ตอกย้ำ…ว่าปัญหาความรุนแรงทางสังคม ถือเป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
เรื่องดังกล่าว… ถือว่าเป็นหนึ่งในโจทย์ที่ท้าทายสำหรับงานวิจัยที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของสังคมไทยให้ดีขึ้นแบบยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) หน่วยงานหลักในการบริหารจัดการทุนวิจัยของประเทศ ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และได้สนับสนุนแผนงานวิจัย “สังคมไทยไร้ความรุนแรง” อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้แนวทางการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนไทยให้ปลอดภัยจากความรุนแรงในสังคมที่ครอบคลุมในมิติต่าง ๆ
และเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้การป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในสังคมไทยสำหรับเยาวชน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วช. ได้เปิดเวทีนำเสนอ 4 ผลงานวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้อง โดย “ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง” ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ได้ให้ความสำคัญกับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคม โดยผลักดันการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่จะใช้เป็นแนวทางในการป้องกัน แก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนไทย ซึ่งคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแนวทางจากงานวิจัยทั้ง 4 ประเด็นหลักที่นำเสนอ จะเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการร่วมกันทำให้สังคมไทยเป็น “สังคมไทยไร้ความรุนแรง” อย่างแท้จริง
สำหรับประเด็นแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาการติดเกมของเยาวชน ซึ่ง “เกม” มักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร้ายอันดับแรก ๆ เมื่อเกิดเหตุความรุนแรงจากเยาวชน “ นางสาวณัฐพร กังสวิวัฒน์” ตัวแทนจากโครงการ “การแก้ปัญหาติดเกมในเด็กและเยาวชนไทยในช่วงอายุ 6-25 ปี” ซึ่งมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วัลลภ อัจสริยะสิงห์ จาก มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นหัวหน้าโครงการ กล่าวว่า ปัจจุบันเกมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเด็ก ๆ ซึ่งการเล่นเกมอย่างพอดีก็มีข้อดีเช่นกัน เช่นการได้เพื่อน ได้ความสนุกสนาน ได้สังคมและได้ฝึกทักษะบางอย่าง แต่หากเล่นอย่างไม่เหมาะสมก็เกิดผลเสียตามมาได้ และหนึ่งในนั้นก็คือปัญหาการติดเกม ซึ่งจากการสำรวจเบื้องต้น พบว่าประเทศไทยมีเด็กและวัยรุ่นที่ติดเกมประมาณ 5.4 %
ทั้งนี้สาเหตุของการติดเกมมาจากหลากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งปัจจัยจากตัวเด็กเอง เช่น ความรู้สึกการมีคุณค่าในตัวเองต่ำ ขาดทักษะชีวิต ขาดวินัยและขาดการควบคุมอารมณ์รวมถึงมีโรคทางจิตเวชบางอย่าง ปัจจัยจากครอบครัว เช่น การที่พ่อแม่ขาดสัมพันธภาพที่ดีกับเด็ก ขาดกฎระเบียบที่ชัดเจน หรือตัวพ่อแม่เองไม่ได้ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี และปัจจัยทางสังคม เช่น เด็กมีปัญหากับเพื่อนในชีวิตจริง เด็กเข้าถึงเกมได้ง่ายและมีอุปกรณ์เป็นของตนเอง
นักวิจัย ย้ำว่า ครอบครัวมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะป้องกันปัญหา และสิ่งที่ควรทำ คือ การให้ความรัก ความอบอุ่น มีกติกาในการเล่นเกมที่เหมาะสมให้กับเด็ก มีการทำกิจกรรมที่สนุกสนานในครอบครัว และส่งเสริมให้เด็กเห็นคุณค่าในตัวเอง ขณะเดียวกันสังคมและสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็ก ก็มีส่วนช่วยในการในการส่งเสริมให้พ่อแม่มีความพร้อมในการเลี้ยงดูเด็กมากขึ้นด้วย
ส่วนประเด็นความรุนแรงในสังคมไทยที่ต้องอาศัยความร่วมมือในการแก้ไขจากทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นผลงานภายใต้แผนงานวิจัย “สังคมไทยไร้ความรุนแรง (ปีที่ 3)” รองศาสตราจารย์ ดร.สุมนทิพย์ จิตสว่าง จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้อำนวยการแผนงานวิจัยดังกล่าว กล่าวว่า แผนงานวิจัยนี้ ได้สร้างฐานข้อมูลความรุนแรงในสังคมไทย และฐานข้อมูลความรุนแรงในครอบครัว เพื่อใช้ศึกษานโยบายและสร้างมาตรการความร่วมมือระหว่างเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการลดความรุนแรงในสังคมไทย และนำแนวทางปฏิบัติที่ดีในการป้องกันและแก้ไขความรุนแรงไปปฏิบัติเพื่อลดความรุนแรงในพื้นที่เป้าหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนงานวิจัยร่วมกับหน่วยงานปฏิบัติใน 5 มิติ ประกอบด้วย นโยบาย การป้องกันการใช้ความรุนแรง การคุ้มครอง การดำเนินคดี และการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วม อันจะนำไปสู่การสร้างสังคมไทยไร้ความรุนแรง
“ ความรุนแรงของสังคมไทยในสถานการณ์โลก ไทยอยู่อันดับที่ 116 ในปี 2562 แม้ในปีนี้ไทยอยู่ในอันดับที่ 92 แต่ไทยยังมีสถานการณ์ความรุนแรงในสังคมอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในความรุนแรงนั้นก็คือความรุนแรงต่อเด็กและเยาวชน จากสถิติการใช้ความรุนแรงโดยการฆาตกรรมที่กระทำโดยผู้ที่มีอายุระว่าง10-29 ปี ในปี 2542 ไทยอยู่ในอันดับ 8 ของโลก และมีสถิติกระทำผิดมากสุดในประชาคมอาเซียนในปี 2558 ส่วน ปี 2561เด็กไทยถูกรังแกในโรงเรียนเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ปี 2564-2565 ตัวเลขจากกรมพินิจ ฯ จำนวนเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีโดยสถานพินิจฯ ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายเพิ่มขึ้น 14.76 % ซึ่งสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่าเด็กและเยาวชนใช้ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น”
รองศาสตราจารย์ ดร.สุมนทิพย์ กล่าวอีกว่า จากแผนงานวิจัยก่อนที่จะไปแก้ปัญหา ได้มีกระบวนการในการที่จะถอดบทเรียนถึงสาเหตุว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ใช้ความรุนแรงเพราะอะไร หนึ่งในนั้นคือ การใช้ความรุนแรงเพราะต้องการแสดงออก ซึ่งจะเห็นจากเด็ก ๆ หรือผู้ใหญ่ที่มีความเครียดไประบายอารมณ์ด้วยความโกรธ หรือแม้แต่การเล่นเกม นำไปสู่การแสดงออกในการปลดปล่อยอารมณ์ การใช้อาวุธปืนนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ ต่อไปเป็นการใช้ความรุนแรงด้วยวิธีการแสดงอำนาจ ควบคุมผู้อื่นให้ทำตาม ซึ่งเป็นการตอบโจทย์เรื่องการใช้ความรุนแรงในครอบครัว การใช้อำนาจ หรือแม้แต่เด็กที่มีอำนาจในการบ่งการผู้อื่น ยิ่งถ้ามีอาวุธอยู่กับตัวจะเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนความรุนแรงให้อยู่ต่อไป และประเด็นสำคัญที่จะทำให้เกิดความรุนแรงก็คือการเรียนรู้และซึมซับความรุนแรง ทั้งจากพฤติกรรมครอบครัว คนรอบข้าง และการลอกเลียนแบบจากสื่อ
“ จากการศึกษา พบว่าประเทศที่มีปัญหาครอบครัวมาก ปัญหาความรุนแรงในเด็กและเยาวชนก็จะมากตามไปด้วย ปัจจุบัน ผู้หญิง 1 ใน 3 ของโลกถูกใช้ความรุนแรง และเด็ก 1 ใน 2 ของโลกก็ถูกใช้ความรุนแรง เมื่อถูกใช้ความรุนแรงวัฏจักรของความรุนแรงก็ถูกขับเคลื่อนต่อไป จากงานวิจัยของยูนิเซฟพบว่าเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ถูกใช้ความรุนแรงตั้งแต่ 4 ครั้งขึ้นไปทั้งทางกาย ทางเพศหรือทางอารมณ์ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะใช้ความรุนแรงต่อถึง 7 เท่า และเกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตาย 30 เท่า ทั้งนี้การที่เด็กไปขับเคลื่อนวัฏจักรของความรุนแรงต่อนั้น นอกจากจะมีปัจจัยสำคัญจากเรื่องของความผูกพันต่อครอบครัวและต่อสังคมแล้ว ยังมีเรื่องของการเรียนรู้ทั้งจากบุคคลและสื่อ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ ที่ทำให้เด็กสามารถหนีจากโลกความเป็นจริงไปสร้างตัวตนอยู่ในโลกออนไลน์ได้ สามารถเรียนรู้และซึมซับความรุนแรง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสำคัญ คือ บาดแผลทางใจ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ถูกใช้ความรุนแรงในครอบครัว หรือถูกบูลลี่ จะเก็บไว้และไปแสดงออกด้วยวิธีรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ”
อย่างไรก็ดีจากการวิจัยซึ่งมีการถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลก ทีมวิจัยมีข้อเสนอแนะถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาว่า ควรร่วมกันแก้ปัญหาความรุนแรงจากทุกภาคส่วน โดยกำหนดเป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติ มีการแก้ปัญหาครอบครัว ลดความรุนแรงต่อสตรี ตัดวัฏจักรของความรุนแรงไม่ให้ผลิตซ้ำ แก้ปัญหาเรื่องสุขภาพจิตของคนในสังคม ปลูกฝังเด็กปฐมวัยให้ห่างไกลความรุนแรงด้วยหลักศาสนา แก้ปัญหาเรื่องการเข้าถึงอาวุธ ปัญหายาเสพติด การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนในสังคมว่า การใช้ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องธรรมดาและเคารพความแตกต่างของทุกคนในสังคม รวมถึงการบูรณาการงานวิจัยร่วมกันกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
สำหรับประเด็นการเข้าถึงอาวุธปืน รองศาสตราจารย์ ดร.สุมนทิพย์ กล่าวว่า ทีมวิจัยได้มีการศึกษาตั้งแต่เริ่มโครงการในปีแรกต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน โดยเป็นการศึกษาถึงปัจจัยในการลดความรุนแรง ซึ่งพบว่าหากมีอาวุธปืนอยู่ในครอบครัว และครอบครัวนั้นใช้ความรุนแรง จะนำไปสู่การฆาตกรรมมากถึง 500 เท่า
ขณะที่โครงการวิจัย “สถานการณ์เยาวชนกับความรุนแรงในสังคมไทย: กรณีศึกษางานวิจัย “ครอบครัวพลังบวก” ซึ่งมี “รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี” ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย มีการนำหลักการพัฒนาระบบพี่เลี้ยงที่ปรึกษาชุมชน มุ่งสร้างครอบครัวพลังบวก รวมไปถึงการให้ความรัก ความอบอุ่น และความปลอดภัยที่มีอยู่ในสมาชิกของทุกคนเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม เพราะครอบครัวคือหน่วยในการสร้างพลเมืองที่ดีของสังคมไทย
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุริยเดว กล่าวว่า “ จากการเก็บข้อมูลวิจัยมากว่า 10 ปี พบว่าปัจจุบันสถานการณ์พลังบวกของเด็กในประเทศไทย (อายุ12-25 ปี) มีการลดต่ำลง ซึ่งมีการส่งสัญญาณเตือนเรื่องต้นทุนชีวิตของเด็กและเยาวชน (ซึ่งเด็กเป็นผู้ประเมิณเอง) นับตั้งแต่ก่อนเริ่มโควิด-19 ระบาดว่ากำลังเริ่มต่ำลงทั้งประเทศ และ ยิ่งเมื่อสถานการณโควิด-19 แพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจไม่ดี พ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงลูก ไม่ว่าจะเป็นฐานะยากจน และต่อให้มีฐานะร่ำรวย ก็มีหลักฐานยืนยันได้ว่า หากเลี้ยงลูกมีต้นทุนชีวิตต่ำ จะเสี่ยงกว่าเด็กทั่วไป 3-10 เท่า ขณะเดียวกันสมมุติฐานที่ผู้ใหญ่ชอบวางไว้ว่า หากเด็กเรียนเก่งแล้วจะเป็นคนที่มีภูมิคุ้มกันที่ดี เป็นการเข้าใจผิด เพราะมีงานวิจัยที่พบว่าเด็กที่เรียนเก่งที่สุด มีแนวโน้มมีจิตสาธารณะน้อยที่สุด รวมถึงเด็กที่จบการศึกษาไปแล้วและกำลังจะได้รับรางวัลระดับโลกต่าง ๆ ก็พบว่ามีจิตสาธารณะต่ำที่สุดในประเทศ และต่ำกว่าเด็กพิการทางสายตาและทางการได้ยิน ที่ควรจะได้รับการช่วยเหลือ แต่กลับมีน้ำใจในการแบ่งปันมากกว่าเด็กปกติ 2 เท่าอีกด้วย”
ด้าน ดร.หรรษา เศรษฐบุปผา จาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวหน้าโครงการวิจัย“การศึกษาประสิทธิผลของการดำเนินการตามโปรแกรมการฝึกทักษะชีวิตในการจัดการความโกรธตามวิถีพุทธในวัยเด็กตอนปลาย :โปรแกรมเด็กรุ่นใหม่ใจเย็น ๆ” กล่าวถึงการป้องกันความรุนแรงในสังคมไทย ว่า งานวิจัยนี้สามารถสร้างลักษณะนิสัยให้เด็กใจเย็นจากการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลาผ่านสื่อที่สนุกสนานและน่าสนใจ มีการถ่ายทอดความรู้เหมาะสมกับวัย และพัฒนาทักษะเป็นลำดับขั้นตอนโดยมุ่งเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามในการสร้างทักษะชีวิตในการจัดการความโกรธในเด็กตอนปลาย