ยอมรับและเข้าใจถึงประโยชน์ของ “สารชีวภัณฑ์” ผลผลิตจากจุลินทรีย์ตามธรรมชาติที่สามารถทำลายศัตรูพืชทดแทนการใช้สารเคมีที่อันตรายทั้งต่อเกษตรกร ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ซึ่งหลาย ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเชื่อกันว่าจะเป็นหนึ่งในแนวทางการขับเคลื่อนภาคการเกษตรที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับนโยบาย “Thai go Green” ภาคการเกษตรของรัฐบาล
แต่การผลักดันให้เกิดการใช้สารชีวภัณฑ์ในกลุ่มเกษตรกร โดยเฉพาะในพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงไม่ใช่เรื่องง่าย… เพราะ “สารชีวภัณฑ์” ไม่ใช่ว่าแค่ซื้อมาใช้แล้วจะสามารถแก้ปัญหา หรือกำจัดศัตรูพืชได้อย่างครอบจักรวาล หากใช้อย่างไม่ถูกต้อง ไม่ถูกวิธี และไม่ถูกเวลา ย่อมไม่ได้ผล
“การใช้งานชีวภัณฑ์อย่างเหมาะสม” จึงถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นสำคัญของการอบรมเชิงเชิงปฏิบัติการเรื่อง “เรียนรู้การจัดการโรคและแมลงในทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์” ซึ่งทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดระยอง จัดขึ้นที่สวนทุเรียนของ “คุณสันติ จิรเสาวภาคย์” อ.บ้านค่าย จ. ระยอง ซึ่งเป็นแปลงทดลองการใช้สารชีวภัณฑ์ในการควบคุมโรค ที่ทำให้ทุเรียนในสวนแห่งนี้ยืนต้นตายไปกว่า 100 ต้น
พร้อมทั้งเปิดตัว Standard Operating Procedure หรือ SOP สำหรับการใช้ชีวภัณฑ์แบบผสมผสานในพืชเศรษฐกิจ “ทุเรียน” ซึ่งได้มีการรวบรวมองค์ความรู้ จัดทำเป็นคู่มือการจัดการศัตรูทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์แบบครบวงจร
“ดร.วรรณพ วิเศษสงวน” ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยมีความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพสูงมาก ทั้งจุลินทรีย์ พืช และสัตว์ ซึ่งทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ของไบโอเทค สวทช. ได้ศึกษาความหลากหลายของสายพันธุ์จุลินทรีย์ มุ่งค้นหาและศึกษาความเป็นประโยชน์ของจุลินทรีย์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการเกษตร ที่เน้นค้นหาจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติเป็นชีวภัณฑ์ การย่อยสลายวัสดุเหลือทิ้งจากไร่นา และจุลินทรีย์ที่กระตุ้นการเจริญเติบโตและการดูดซับธาตุอาหารที่มีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันไบโอเทค สวทช. มีคลังจุลินทรีย์ของประเทศ (TBRC) ที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้น ๆ ของเอเชีย จากการวิจัยยาวนานกว่า 20 ปี ทำให้สามารถคัดกรองและคัดเลือกสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมศัตรูพืช โรคและแมลงสำคัญในพืชเศรษฐกิจของประเทศ และผลักดันการใช้ประโยชน์ชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืช เช่น ราบิวเวอเรีย (Beauveria bassiana) สำหรับควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไก่แจ้ แมลงหวี่ขาว ฯลฯ และราเมตาไรเซียม (Metarhizium) สำหรับควบคุมไรแดงชนิดต่าง ๆ
นอกจากนี้ยังมีชีวภัณฑ์จากแบคทีเรียและราเพื่อควบคุมโรคพืช เช่น ราไตรโคเดอร์มา (Trichoderma) ควบคุมราก่อโรคพืชต่าง ๆ เช่น โรครากเน่า-โคนเน่าจากเชื้อราไฟทอปธอร่า เป็นต้น ซึ่งชีวภัณฑ์เหล่านี้หากได้รับการส่งเสริมการใช้อย่างเหมาะสมไปสู่เกษตรกร จะเป็นการลดการใช้สารเคมีในอุตสาหกรรมการเกษตรอย่างมีนัยสำคัญ สนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
“ งานอบรมเชิงปฏิบัติการที่จัดขึ้นนี้ เป็นตัวอย่างของการนำงานวิจัยที่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของทรัพยากรทางชีวภาพ โดยนำจุลินทรีย์มาทำเป็นสารชีวภัณฑ์เพื่อทดแทนการใช้ยาฆ่าแมลงกำจัดศัตรูพืชต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จ และตอบโจทย์นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอว. ที่อยากให้งานวิจัย และนวัตกรรมต่าง ๆ ออกมาตอบโจทย์และเข้าถึงเกษตรกร โดยสิ่งที่นำมาจัดแสดงนั้นมีการทดสอบแล้วในพื้นที่จริงว่าได้ผล และอยากให้เกษตรกรนำไปขยายผลใช้งานต่อไป ซึ่งสิ่งที่สำคัญ ก็คือ การใช้ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งไบโอเทคมีการรวบรวมองค์ความรู้เป็น SOP คู่มือการจัดการศัตรูทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์แบบครบวงจร ซึ่งโรคพืชและแมลงมีหลากหลาย แต่ละพืชก็จะมีโรคที่แตกต่างกัน คนส่วนใหญ่จะคิดว่าง่าย ซื้ออะไรมาใช้ก็ได้ ซึ่งไม่ถูกต้อง เหมือนกับการรักษาโรคที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าเป็นโรคอะไร จึงจะแก้ได้ตรงจุด ถ้าวินิจฉัยโรคผิดก็จะไม่ได้ผล”
“ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา” รองผู้อำนวยการไบโอเทค กล่าวว่า การอบรมดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย “การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG แบบบูรณาการเชิงพื้นที่ (Area based): การจัดการทำแบบมาตรฐานจัดการศัตรูพืช (Standard Operating Procedure: SOP) โดยใช้ชีวภัณฑ์แบบผสมผสานในพืชเศรษฐกิจ ทุเรียน” ซึ่งภาคตะวันออก ถือเป็นเป้าหมายในเรื่องของทุเรียน ปัจจุบันทีมวิจัยมีการทดสอบชีวภัณฑ์กับทุเรียนในพื้นที่จังหวัดระยองและจันทบุรี และได้มาซึ่งองค์ความรู้ที่จะสามารถเอามาสังเคราะห์และจัดทำเป็นคู่มือให้เกษตรกรสามารถดูแลรักษาสวนทุเรียนจากการเกิดโรคและศัตรูพืชเข้าทำลาย โดยเฉพาะโรครากเน่าโคนเน่า ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของสวนทุเรียนในปัจจุบัน รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถใช้ชีวภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ช่วยลดปริมาณการใช้สารเคมี ไม่สร้างผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม และลดปัญหาการตรวจพบสารเคมีตกค้าง ทำให้สามารถยกระดับทุเรียนสู่มาตรฐานการส่งออกได้
ด้าน “นางอุบล มากอง” ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง กล่าวว่า ปัจจุบันภาคตะวันออก ระยอง จันทบุรีและตราด มีผลผลิตผลไม้ต่าง ๆ เช่น ทุเรียน เงาะ และมังคุด รวมประมาณ 1.1 ล้านตัน เป็นผลผลิตทุเรียนกว่า 7 แสนตัน ซึ่ง 80 % เป็นการส่งออก โดยทุเรียนยังมีปัญหาเรื่องของต้นทุนการผลิตและ ความปลอดภัยในการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้า จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสวนทุเรียนที่มีประสิทธิภาพ อย่างเช่น ความร่วมมือในการจัดการแมลงศัตรูพืชด้วยชีวภัณฑ์ รวมถึงความร่วมมือด้านอื่น ๆ ในอนาคต อย่างไรก็ดีสิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืม คือเรื่องของต้นทุนการผลิตและความง่ายของการจัดการและเข้าถึงเทคโนโลยีด้วย
ขณะที่ “นางสาววรนุช สีแดง” เกษตรจังหวัดระยอง บอกว่า เป็นโอกาสดีของจังหวัดระยอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเรียนรู้การจัดการโรคและแมลงในทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์ ของ สวทช. ซึ่ง ทุเรียน เป็นพืชที่จัดการค่อนข้างยากโดยเฉพาะเรื่องโรคแมลง ทำให้ทุกวันนี้มีการใช้สารเคมีค่อนข้างเกินความจำเป็นและทำให้เกิดความสูญเสียทั้งเรื่องต้นทุนการผลิต ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจ ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม
“ ในช่วง5 ปีที่ผ่านมาเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนในจังหวัดระยอง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่า 50 % โดยมีพื้นที่ปลูกทุเรียนไม่ต่ำกว่า1 แสนไร่ ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การปลูกทุเรียนประสบผลสำเร็จหรือไม่ ก็คือเรื่องการจัดการโรคและแมลง ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเกษตรกรใช้สารเคมี ซึ่งมีผลเสียเป็นจำนวนมาก การผลักดันให้ใช้สารชีวภัณฑ์จึงถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะช่วยให้ภาคการเกษตรลดการใช้สารเคมี และเป็นวิธีการที่ยั่งยืน ปลอดภัยทั้งชีวิตและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของต้นทุนการผลิต ซึ่งจะลดลงอย่างแน่นอนถ้าเกษตรกรรู้จักประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับสวนของตนเอง ซึ่งเชื่อว่าเรื่องชีวภัณฑ์ ปัจจุบันเกษตรกรกว่า 50 % รับรู้และเข้าใจแล้วและกำลังเดินหน้าไปสู่การใช้ชีวภัณฑ์อย่างจริงจัง แต่อาจจะยังติดปัญหาเรื่องของหัวเชื้อต่าง ๆ ที่เกษตรกรยังไม่สามารถผลิตเอง ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรจะมีแนวทางในการส่งเสริมต่อไป”
“ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน” นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า ทราบกันดีว่าเราเป็นเกษตรกรรมที่พึ่งพาสารเคมีจำนวนมาก เวลาใช้ไม่ได้ผลก็เพิ่มจำนวน ปัจจุบันไทยนำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชกว่า 1 แสนตัน มูลค่ากว่า 24,000 ล้านบาท ผลที่ตามมา คือการเจ็บป่วย มากกว่า 4,000 รายต่อปี นอกจากนี้ในช่วงระหว่างปี 2559-2562 ยังมีผู้เสียชีวิตจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช มากกว่า 2,000 ราย เกิดการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อมกระทบอุตสาหกรรมสัตว์น้ำและการท่องที่ยว
“ สิ่งที่อยากจะนำเสนอคือสิ่งชีวิตที่มาจากธรรมชาติ ที่เรียกกว่า ชีวภัณฑ์ ซึ่งมีความยั่งยืน ไม่เป็นพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เราพยายามสาธิตให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับสารเคมี ซึ่งจริง ๆแล้วประเทศไทยมีสมบัติอันล้ำค่า คือ เรามีคลังจุลินทรีย์ของประเทศ ที่มีความสามารถต่าง ๆ อย่างเช่น ชีวภัณฑ์ที่ใช้ในสวนทุเรียน อย่าง ราบิวเวอเรีย ราเมตาไรเซียม ราไตรโคเดอม่า และโปรตีนวิป ซึ่งมีบริษัทมารับการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปผลิตจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว”
สำหรับการดำเนินการในพื้นที่ ทีมวิจัยได้ทำการสำรวจโรคและแมลงศัตรูที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่จังหวัดระยอง และทดสอบประสิทธิภาพของชีวภัณฑ์ในการจัดการสวนทุเรียน ทั้งการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการระบาดของโรคและแมลงสำคัญ เพื่อสร้างองค์ความรู้และกระบวนการจัดการปัญหาโรคและแมลงในสวนทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์ทดแทนการใช้สารเคมีที่มีอันตราย โดยได้คัดเลือกพื้นที่สวนคุณสันติ เป็นพื้นที่ทดสอบการใช้ชีวภัณฑ์ระดับแปลงและจัดทำเป็นแปลงสาธิตแสดงประสิทธิภาพของสารชีวภัณฑ์แก่ผู้ปลูกทุเรียน โดยมีเป้าหมายในการแก้ปัญหา ยุติความสูญเสียจากการยืนต้นตายของต้นทุเรียน
ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ทำการสำรวจโรคและแมลงที่เป็นปัญหาในแปลง พูดคุยสร้างความเข้าใจและถ่ายทอดความรู้เรื่องชีวภัณฑ์กับคุณสันติและคุณพ่อ รวมไปถึงคนงานที่อยู่ในสวนอย่างใกล้ชิด มีการทดสอบประสิทธิภาพของการใช้ชีวภัณฑ์ทั้งแบบแปลงที่มีการใช้สารชีวภัณฑ์อย่างเดียวตามการระบาด แบบผสมผสานชีวภัณฑ์และสารเคมี และแบบวิธีดั้งเดิมตามแนวทางของเกษตรกรที่ใช้สารเคมีเพียงอย่างเดียว
โดยเริ่มการทดสอบตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-ปัจจุบัน พบว่า ชีวภัณฑ์มีประสิทธิภาพในการควบคุมแมลงศัตรูได้ดีหรือเทียบเท่าสารเคมี และยังพบการเพิ่มขึ้นของแมลงศัตรูธรรมชาติที่มีประโยชน์ (แมลงดี) ในแปลงที่ใช้ชีวภัณฑ์และผสมผสานมากกว่าแปลงสารเคมี แสดงให้เห็นว่าการใช้ชีวภัณฑ์สามารถฟื้นคืนสมดุลธรรมชาติระบบนิเวศในสวนทุเรียนได้ดี ในด้านของโรคทุเรียน พบว่า ชีวภัณฑ์สามารถหยุดการตายของต้นทุเรียนได้ ต้นทุเรียนค่อย ๆ ฟื้นตัว
ดังนั้น ทีมวิจัยจึงได้สนับสนุนให้คุณสันติฉีดพ่นไตรโคเดอร์มาแบบปูพรมทั้งสวน เพื่อลดความรุนแรงของเชื้อราไฟทอปธอร่า และไตรโคเดอร์มา ทั้งยังสามารถส่งเสริมความแข็งแรงของพืชได้อีกด้วย เมื่อพิจารณาด้านคุณภาพและปริมาณผลผลิต พบว่า การใช้ชีวภัณฑ์หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวภัณฑ์ร่วมกับสารเคมี ไม่ส่งผลเสียต่อรสชาติและคุณลักษณะภายนอกของผลทุเรียน และทุเรียนยังให้ผลผลิตใกล้เคียงกับการใช้สารเคมีคือ เฉลี่ย 43-57 ผล/ต้น
ขณะที่ “นายสันติ จิรเสาวภาคย์” เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน เจ้าของพื้นที่ทดสอบ กล่าวว่า สวนทุเรียนของตน เกิดประสบปัญหาต้นทุเรียนติดเชื้อรากเน่าโคนเน่าจากราไฟทอปธอร่าและพิเทียมที่รุนแรง ทำให้มีการยืนต้นตายของทุเรียนหลายสิบต้นเกิดความเสียหายอย่างมาก จึงได้ปรึกษาทางทีมวิจัยของไบโอเทค ซึ่งมีความรู้เรื่องชีวภัณฑ์ และได้ทำการทดสอบในสวนทุเรียนของตน โดยถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องโรคและแมลง และการจัดการสวนทุเรียน ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทำให้มีความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพชีวภัณฑ์ในการป้องกันกำจัดโรคแมลงในสวนทุเรียนมากขึ้น ปัจจุบันทางทีมวิจัยยังคงดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บข้อมูลผลผลิตในอีกหนึ่งรอบการผลิต
ดร.อลงกรณ์ หัวหน้าทีมวิจัย บอกอีกว่า ชีวภัณฑ์คือสิ่งมีชีวิตจากธรรมชาติ ดังนั้นจะใช้ระยะเวลาในการเข้าทำลายตัวแมลงหรือตัวโรคพืช ดังนั้นเราจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้อย่างถูกเป้าหมาย หมายความว่าจะต้องรู้ว่าเชื้อชนิดนี้เหมาะกับแมลงศัตรูพืชชนิดใด และต้องใช้อย่างถูกเวลา เนื่องจากชีวภัณฑ์เหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตดังนั้นการฉีดพ่นในขณะที่มีแสงแดดจัด มีความร้อนสูงจะทำให้ชีวภัณฑ์เหล่านี้ตายได้ และจะต้องฉีดพ่นให้ถูกตัว เช่น เชื้อรา ตัวชีวภัณฑ์จะออกฤทธิ์ก็ต่อเมื่อเกาะติดตัวศัตรูพืช จึงจะเข้าไปทำลายศัตรูพืชได้ ดังนั้นเราจึงเน้นว่า “ชีวภัณฑ์” ที่ผ่านมา อาจจะไม่ได้มีการนำเสนอเยอะ แต่ต้องย้ำว่าต้องใช้แบบถูกเป้าหมาย ถูกเวลา และถูกวิธี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญ โดยจะระบุใน SOP ของทุเรียน ซึ่งเป็นต้นแบบของพืชเศรษฐกิจหลัก
นอกจากทุเรียนแล้วทีมวิจัยฯ ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพในระดับแปลงในหลากพืชพันธุ์และหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย อาทิ โหระพาเพื่อการส่งออก จ.นครปฐม กล้วยไม้เพื่อการส่งออกในกลุ่มผู้ผลิตกล้วยไม้ภาคกลาง-ตะวันตก ถั่วฝักยาวและพริก จ.ราชบุรี เมล่อน จ.พระนครศรีอยุธยา และมังคุด จ.จันทบุรี เป็นต้น
โดยชีวภัณฑ์ที่ใช้อย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างไปจากสารเคมี นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้ริเริ่มจัดทำระบบสนับสนุนการใช้ชีวภัณฑ์แบบ one stop service ที่เชื่อมต่อเกษตรกร นักวิชาการ และผู้ผลิตชีวภัณฑ์ รวมถึงเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลผู้ให้บริการตรวจสอบสภาพอากาศ เพื่อสร้างผู้ช่วยส่วนตัวของเกษตรกรในการวินิจฉัยโรคและแมลง แนะนำ SOP หรือมาตรฐานการปฏิบัติงาน ในแต่ละพืชและชีวภัณฑ์ที่เหมาะสม และเป็นที่รวบรวมผู้ผลิตที่มีคุณภาพและมาตรฐานมาให้บริการเกษตรกร คาดว่าจะสามารถเริ่มเปิดใช้งานได้ในปี 2567 และคาดหวังว่าระบบนี้จะสนับสนุนให้เกิดการใช้ชีวภัณฑ์เป็นวงกว้างและยั่งยืนได้ต่อไป