นักวิจัยไบโอเทค สวทช. คว้ารางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ประจำปี 2566 จากผลงาน “เทคโนโลยีฐานในการสังเคราะห์ยา”ช่วยให้ประเทศไทยสามารถผลิตยาได้เองในประเทศ มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสมรวมถึงมีกระบวนการสังเคราะห์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 66 มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกาศผลการพิจารณาคัดเลือกโครงการรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น ประจำปี 2566 ซึ่งปีนี้มีผู้เสนอผลงานเพื่อขอรับรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น จำนวน 31 โครงการ และรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ จำนวน 15 โครงการ ผลปรากฏว่า นักวิจัยไบโอเทค ได้แก่ “ดร.นิติพล ศรีมงคลพิทักษ์” นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบและวิศวกรรมชีวโมเลกุลขั้นแนวหน้า ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเพื่ออุตสาหกรรม ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จากผลงาน “เทคโนโลยีฐานในการสังเคราะห์ยา (Synthesis for Medicine as Technology Platform)” ได้รับรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี 2566 โดยมี รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ประธานมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นประธานในพิธี พร้อมนี้ ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผอ.สวทช. และ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผอ.ไบโอเทค เข้าร่วมแสดงความยินดี
ดร.นิติพล ศรีมงคลพิทักษ์ นักวิจัยไบโอเทค สวทช. เปิดเผยถึงผลงานวิจัยที่ได้รับรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ว่า ตนเองและคณะผู้วิจัย ได้พัฒนาเทคโนโลยีฐานการสังเคราะห์ยา ซึ่งมีแนวคิดคือ กระบวนการสังเคราะห์ยาจะต้องมีประสิทธิภาพสูง สามารถทำได้เองในประเทศไทย โดยได้เป็นสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมที่มีคุณภาพและมีราคาเหมาะสม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งแนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง BCG ของประเทศไทย และแนวคิด Sustainable Development Goals (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ
โดยสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (Active Pharmaceutical Ingredients; API) ถูกสังเคราะห์ขึ้น โดยใช้วิธีการสังเคราะห์ 2 รูปแบบ ได้แก่ เทคนิคการสังเคราะห์แบบดั้งเดิม และเทคนิคการสังเคราะห์แบบใหม่ เช่น การสังเคราะห์แบบไหลต่อเนื่อง หรือการใช้ตัวเร่งทางชีวภาพ/เอนไซม์ โดยมีเป้าหมายในการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังระดับกึ่งอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรม ปัจจุบันคณะผู้วิจัยฯ มุ่งเน้นพัฒนายาต้านมาลาเรียและโรคติดเชื้อไวรัส โดยการพัฒนายาในระดับต้นน้ำ (TRL1-3) ประกอบด้วยการค้นพบอนุพันธ์ BION-075, BION-106, BION-141 และ BION-157 ส่วนการพัฒนายาในระดับกลางน้ำ (TRL4-6) ได้แก่ ฟาวิพิราเวียร์ มอลนูพิราเวียร์ โซฟอสบูเวียร์ และเรมเดซิเวียร์ เป็นต้น
ซึ่งยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นยาชนิดแรกที่ได้พัฒนาขึ้นโดยใช้เทคนิคการสังเคราะห์แบบไหลต่อเนื่องร่วมกับเทคนิคการสังเคราะห์แบบดั้งเดิม ซึ่งเทคนิคนี้ช่วยให้กระบวนการสังเคราะห์ยามีความปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากสามารถควบคุมอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปจากการทำปฏิกิริยาของสาร และทำให้ได้สารที่มีความบริสุทธิ์สูงในเวลาอันรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังมีความเหมาะสมสำหรับการขยายขนาดการผลิตจากห้องปฏิบัติการสู่ระดับกึ่งอุตสาหกรรม (ยื่นจดสิทธิบัตรการประดิษฐ์ เลขที่คำขอ 2101001627) ยามอลนูพิราเวียร์ เป็นยาที่พัฒนาขึ้นโดยต่อยอดจากเทคโนโลยีเดิม ใช้สารตั้งต้นที่มีราคาถูก หาซื้อได้ง่าย และพัฒนากระบวนการสังเคราะห์โดยใช้ตัวเร่งทางชีวภาพ หรือเอนไซม์ ทำให้ขั้นตอนการสังเคราะห์ลดน้อยลงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ความร่วมมือกับองค์การเภสัชกรรม และ Medicine for All Institute ประเทศสหรัฐอเมริกา) (ยื่นจดสิทธิบัตรการประดิษฐ์ เลขที่คำขอ 2201001996) ปัจจุบันคณะผู้วิจัยฯ ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีกระบวนการสังเคราะห์ยาฟาวิพิราเวียร์และยามอลนูพิราเวียร์ให้กับองค์การเภสัชกรรมและได้ขยายขนาดการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม
สำหรับยาโซฟอสบูเวียร์และเรมเดซิเวียร์ เป็นยาที่คณะผู้วิจัยฯ สังเคราะห์ขึ้นโดยใช้เอนไซม์ Phosphotriesterase (PTE) เป็นตัวเร่งทางชีวภาพในการสังเคราะห์ sofosbuvir precursor และใช้กระบวนการตกผลึกทำให้ได้สารบริสุทธิ์ รวมถึงอยู่ระหว่างขยายขนาดการผลิตในระดับก่อนกึ่งอุตสาหกรรม (ยื่นจดสิทธิบัตรการประดิษฐ์ เลขที่คำขอ 2101007629 และ 2301005964) การพัฒนายาในระดับปลายน้ำ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีโรงงานผลิตสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมแบบอเนกประสงค์ คณะผู้วิจัย สวทช. จึงได้ร่วมมือกับองค์การเภสัชกรรมและบริษัท อินโนบิก เอเซีย จำกัด (บริษัทในเครือ ปตท.) ก่อตั้งบริษัทและโรงงานสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่อง “กระบวนการสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม และศึกษาความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ และ/หรือการสร้างความมั่นคงทางยาให้แก่ประเทศไทย”
ประโยชน์ที่ได้รับจากการก่อตั้งโรงงานสังเคราะห์ API คือ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีจะสามารถถ่ายทอดกระบวนการสังเคราะห์ API สู่โรงงานนี้โดยตรง ทำให้กระบวนการสังเคราะห์ยาของประเทศไทยครอบคลุมระบบนิเวศตั้งแต่ระดับต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ และคาดว่าจะสามารถลดการนำเข้า API จากต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่า 200 ล้านบาท/ปี
นอกจากนี้ในงานรับรางวัลนักเทคโนโลยีดังกล่าว ยังมีผลงานของ ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช. ที่มีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีและได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ได้รับเชิญเข้าร่วมเป็นเกียรติแสดงผลงาน และขึ้นกล่าวถึงผลงานเทคโนโลยีบนเวที พร้อมรับโล่รางวัลเชิดชูเกียรติผลงานที่มีความโดดเด่นทางด้านเทคโนโลยีด้วย
ทั้งนี้ รางวัล “นักเทคโนโลยีรุ่นใหม่” มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่ที่เริ่มมีผลงานวิจัยและพัฒนาทางเทคโนโลยีที่เป็นที่ประจักษ์ถึงศักยภาพและความทุ่มเท ในการที่จะพัฒนาเทคโนโลยีในสาขาที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง โดยมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) กำหนดจัดให้มีพิธีรับพระราชทานรางวัลฯ จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 49 ในวันอังคารที่ 23 มกราคม 2567 ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา