“ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงธันยวีร์ ภูธนกิจ” นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประจำปี 2567

Cover Story

          “HIV ไม่เท่ากับ เอดส์” 

          นี่คือประเด็นสำคัญที่ “ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงธันยวีร์  ภูธนกิจ”  นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประจำปี 2567  อธิบายไว้งานกิจกรรม “NRCT Talk นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2567” ที่สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ จัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเชิดชูเกียรตินักวิจัยไทยที่มีผลงานโดดเด่น สร้างคุณูปการให้กับวงวิชาการและประเทศชาติ

          ที่ว่าสำคัญ… เพราะหากเข้าใจ ว่า “ HIV ไม่เท่ากับ เอดส์ ” แล้ว จะนำไปสู่การลดการเลือกปฏิบัติ และตีตราผู้ที่ติดเชื้อ HIV เพื่อให้ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถมีชีวิตที่อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

          ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงธันยวีร์  ภูธนกิจ แห่งภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัย และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาจักรีสิรินธรในพระราชูปถัมภ์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  บอกว่า  HIV คือ ชื่อของไวรัส  ส่วนเอดส์คือระยะของโรค ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อ HIV เป็นเวลานานจนป่วยและเกิดภาวะเอดส์ ซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำมากเกิดภาวะแทรกซ้อน ปัจจุบันไม่ควรมีคนที่เป็นเอดส์แล้ว เพราะมีเวลาในการป้องกันและรักษาก่อนที่จะเข้าสู่ระยะดังกล่าวถึง 7 ปี  แต่จะยังมีผู้อยู่ร่วมกับ HIV   ซึ่งสิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV  สามารถกินยาต้านไวรัส นาน  6 เดือน เชื้อไวรัสจะต่ำมากจนไม่สามารถแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้   

          สถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ประมาณ 500,000 คน ส่วนใหญ่ได้รับยาต้านไวรัสแล้ว และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่  ประมาณปีละ 9,200 คน   ซึ่งเป้าหมายของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตามแนวนโยบาย “ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา”  คือ เน้นลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้เหลือต่ำกว่า  1000 คนต่อปี ภายในปี 2573     

          สำหรับ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงธันยวีร์  เป็นนักวิจัยที่ได้อุทิศตนอย่างต่อเนื่องในการทำงานวิจัยทางคลินิก  โดยมีความคิดริเริ่มในการพัฒนาองค์ความรู้และพัฒนาเครือข่ายระบบวิจัยทางคลินิกให้มีความเข้มแข็งทั้งในประเทศและต่างประเทศ  โดยงานวิจัยมุ่งเน้นทางคลินิกในด้านการรักษาและป้องกันการติดเชื้อ HIV ในเด็กและสตรีมีครรภ์ โดยศึกษาวิจัยการใช้งานต้านไวรัส  สำหรับเด็กที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV เพื่อลดภาวะการเจ็บป่วยจากโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และอัตราการเสียชีวิต ส่งผลให้เด็กสามารถอยู่ร่วมกับเชื้อ HIV และสามารถเติบโตเข้าสู่วัยทำงานได้ และการให้ยาต้านไวรัส HIV ให้กับหญิงตั้งครรภ์ เพื่อลดการถ่ายทอดเชื้อสู่ทารก

           “งานวิจัยทางคลินิกที่ได้ดำเนินการ เป็นงานวิจัยที่เน้นถึงเรื่องการป้องกันการรับเชื้อ HIV ในเด็ก และเยาวชน  ในอดีตหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่กับเชื้อ HIV บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสสูงมากที่จะได้รับเชื้อ HIV ร้อยละ 30 แต่ปัจจุบันจากการให้ยาต้านไวรัสกับหญิงตั้งครรภ์ ทำให้บุตรมีโอกาสรับเชื้อ HIV ลดลงเหลือแค่ร้อยละ 1  และแม้จะเป็นผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องด้วยยาต้านไวรัส ก็สามารถที่จะเติบโต มีสุขภาพที่ดี และมีชีวิตที่ยืนยาวได้”

           ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงธันยวีร์    ทำงานวิจัยทางคลินิกด้านเชื้อ HIV อย่างต่อเนื่องมากว่า 20 ปี  มีผลงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ระดับนานาชาติถึง 280 เรื่อง ถูกอ้างอิง 3730 ครั้ง  ซึ่ง ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงธันยวีร์  บอกว่า   “สิ่งสำคัญไม่ใช่การตีพิมพ์ แต่อยู่ที่ว่าข้อมูลวิจัยที่ได้รวบรวมมาถูกนำไปใช้เป็นแนวทางในการรักษาและป้องกันการ ติดเชื้อ  HIV ทั้งในประเทศไทยหรือในระดับนานาชาติ  ซึ่งในองค์การอนามัยโลกหรือว่าในไกด์ไลน์ของสหรัฐอเมริกา ก็มีผลงานวิจัยไทยที่สามารถไปปักธงไทยไว้  โดยผลงานวิจัยไทยที่ได้รับการอ้างอิง สามารถนำไปปรับใช้ในบริบทของประเทศอื่น ๆ ได้”

          โดยองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยของ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงธันยวีร์    ได้รับการผลักดันไปสู่การกำหนดแนวทางการรักษาและป้องกันการติดเชื้อ HIV ในเด็กและสตรีมีครรภ์  และมีส่วนสำคัญในการผลักดันเครือข่ายวิจัย HIV เด็กในประเทศไทยและกัมพูชา รวมถึงเครือข่ายวิจัยเรื่อง HIV ในเด็กและเยาวชน ในเอเชีย

          ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงธันยวีร์   บอกอีกว่า  “ สิ่งที่วิจัยไม่ได้เป็นการประดิษฐ์คิดค้นอะไรใหม่   เนื่องจากยาต้านไวรัส HIV มีการคิดค้นแล้วในต่างประเทศ  แต่ในอดีตจะมีราคาที่สูงมาก  ปัจจุบันจากการทั่วโลกร่วมมือกันทำวิจัย ทำให้ยาต้านไวรัสที่เคยมีราคาแพงหลักหมื่นลดเหลือหลักพัน แต่นอกสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป ก็ยังคงเข้าถึงได้เฉพาะยาเม็ดที่ต้องทานทุกวัน   ทีมวิจัยจึงนำความรู้จากงานวิจัยพื้นฐานด้านไวรัสวิทยา ภูมิคุ้มกันวิทยา เภสัชวิทยา และระบาดวิทยามาต่อยอดงานวิจัย โดยนำยาต้านไวรัสสูตรต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ในการรักษาเด็กอยู่ร่วมกับ HIV ในประเทศไทย  โดยดูว่ายาสูตรใดที่ใช้แล้วผลการศึกษามีประสิทธิภาพดี โดยเฉพาะกับยาที่เราสามารถผลิตได้ในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เราสามารถเข้าถึงยาได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น   

          เมื่อตรวจเจอตอนไหนก็สามารถรักษาได้เลย และรักษาได้ตั้งแต่เด็กมีอายุเพียง 1 เดือน  ซึ่งการตรวจเชื้อสามารถตรวจได้ตั้งแต่ในครรภ์   เดิมหากไม่ได้รับยา  เด็กจะมีอายุไม่เกิน 10 ขวบ แต่ปัจจุบันพบว่ามีเด็กที่ติดเชื้อตั้งแต่เกิด และได้รับการให้ยาต้านไวรัส สามารถเติบโตมีอายุที่ยืนยาว สามารถไปโรงเรียนและเข้าสู่วัยทำงาน รวมถึงมีครอบครัวได้ ”

           อย่างไรก็ดี ขณะนี้ ยังไม่มีงานวิจัยใดที่ทำให้สามารถหายขาดจากเชื้อ HIV ได้  หากผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV หยุดยาเพียง  1 เดือน  เชื้อ HIV จะกลับมาเท่าเดิม ทำให้ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV จำเป็นต้องทานยาต้านไวรัสแบบเม็ดอย่างสม่ำเสมอทุกวัน  เพื่อให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายฟื้นตัวกลับมาปกติ  แม้ต่างประเทศจะกำลังพัฒนายาต้านไวรัสแบบฉีดที่มีประสิทธิภาพอยู่ได้นาน 2-6 เดือน แต่ก็ยังเข้าถึงได้ยาก และยังต้องมีการวิจัยต่อไป

          ดังนั้นสิ่งที่เราต้องร่วมรณรงค์ในปัจจุบันก็คือ  “ ไม่ติด ไม่ตาย และไม่ตีตรา”  ซึ่งหมายถึงช่วยกันลดผู้รับเชื้อรายใหม่ หากมีเชื้ออยู่ในร่างกายได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อให้ไม่มีอาการเจ็บป่วย และไม่ตีตรา เพื่อให้โอกาสผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV สามารถอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างปกติ.