“Life Sciences Index” จุดตั้งต้นในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ของไทย

Cover Story

              “อุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์”   เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย   หรือ  New S-Curve  ที่รัฐบาลคาดหวังว่าจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้สามารถหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว

              ปัจจุบันอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง  แม้ในประเทศไทยจะยังไม่มีการระบุขอบเขตอย่างชัดเจน  แต่ในภาพรวมของอุตสาหกรรม ฯ คาดว่าจะมีมูลค่าสูง ถึง 40,000-50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ  

              นี่…ก็คือโอกาสของประเทศไทย    ดังนั้นการจะขับเคลื่อนผลักดันให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด  จำเป็นต้องมี  “ตัวชี้วัดที่มีมาตรฐาน”  เพื่อให้ทราบถึงข้อมูล สถานะ และความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ที่ถูกต้อง  เพื่อใช้เป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

              ล่าสุด… กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม  (อว.) โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(องค์การมหาชน) หรือ TCELS   จัดแถลงผลการพัฒนา “ดัชนีชี้วัดอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์” หรือ “Life Sciences Index”  ในงาน TCELS Business Forum 2024: The Life Sciences Index as crucial guide for business development and industry advancement

              โดยดัชนีชี้วัดอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์  หรือเรียกสั้น ๆ ว่า   “LS  index”   จะเป็นเครื่องมือในการทำนาย แนวโน้มหรืออนาคตของอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ว่าจะมีการเติบโตอย่างไร

              นางสาวไปยดา หาญชัยสุขสกุล  รองผู้อำนวยการ TCELS  กล่าวว่า กว่า 19 ปีในการก่อตั้ง TCELS ได้ทำหน้าที่ในการส่งเสริมการวิจัย การสร้างองค์ความรู้ และพัฒนานวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และบริการด้านชีววิทยาศาสตร์ ตลอดจนเชื่อมโยงระหว่างผลงานวิจัยด้านชีววิทยาศาสตร์ไปสู่การแปลงเป็นเชิงพาณิชย์ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์หลายประการ  ซึ่งหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมนั้นคือ การขยายตัวของอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ให้มีมูลค่าสูงขึ้น

              อย่างไรก็ดี  TCELS ยังมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้อุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ของไทย  ซึ่งประกอบด้วยอุตสาหกรรมยาหรือเภสัชภัณฑ์  เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์  เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และการบริการทางการแพทย์และสุขภาพ ให้เกิดการเติบโตขึ้นต่อไป และได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

               TCELS  จึงมีแนวคิดในการพัฒนาเครื่องมือ “LS  index”   ขึ้น ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2562    โดยมีการจัดทำร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์  เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมและระบบนิเวศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งตัวแบบหรือโมเดลดัชนีชี้วัดที่ถูกพัฒนาขึ้นในขณะนั้น ยังมีข้อจำกัดในเรื่องปริมาณข้อมูลและการนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม

              ต่อมาในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ฝ่ายยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและการลงทุน  TCELS   ได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการพัฒนาต่อยอดดัชนีชี้วัด ฯ   ให้มีความเหมาะสมในการนำไปประยุกต์ใช้มากขึ้น และได้ต้นแบบดัชนีชี้วัดฯ ในการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19  เมษายน 2565  ซึ่งปัจจุบันฝ่ายยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมฯ ได้มีการนำต้นแบบดัชนีชี้วัดดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาผู้ประกอบการด้านชีววิทยาศาสตร์

              เรียกได้ว่าใช้ระยะเวลากว่า 5 ปี ในการพัฒนาดัชนีชี้วัดอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ของไทย ซึ่งมีการพัฒนาโดยอิงกับกระบวนการสร้างตัวชี้วัดที่เป็นมาตรฐานสากลในระดับโลก  และปรับให้มีความเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย มีการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุตสาหกรรมต่าง ๆ และมีการทดสอบตัวแปรต่าง ๆ ตามกระบวนการทางสถิติที่น่าเชื่อถือจากนักวิชาการระดับชาติในหลากหลายอุตสาหกรรม

              และวันนี้…พร้อมแล้วที่จะเผยผลการศึกษาดัชนีชี้วัดอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์  ซึ่งได้ข้อสรุปถึง 3 ปัจจัยที่จะส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม  ประกอบด้วย ปัจจัยนำเข้า (Input factor) ปัจจัยด้านผลผลิต(Output factor) และ ปัจจัยด้านผลลัพธ์(Outcome factor)

              เบื้องต้นผลการศึกษาจากดัชนี LS Index ของไทย พบว่าอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง  โดยมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงปี  2560-2561  ซึ่งปัจจัยนำเข้าด้านทรัพยากรบุคคล งบประมาณและการลงทุนมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น แต่การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยียังมีช่องว่างให้พัฒนา  

              ขณะที่ปัจจัยด้านผลผลิต ในประเทศไทยมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น แต่ทรัพย์สินทางปัญญาและจำนวนยาที่ขึ้นทะเบียนมีจำนวนลดลง   ปัจจัยด้านผลลัพธ์ มูลค่าผลผลิตอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 7 %   โดยเฉพาะการบริโภคและการส่งออก   เนื่องจากการนำเข้าโดยเฉพาะกลุ่มยาและเครื่องมือแพทย์ที่ต้องการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และมีสัดส่วนสูงกว่า 50 % ของมูลค่ารวม

              ทั้งนี้จากผลการวิจัย ได้มีข้อเสนอแนะ เพื่อเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรม  ซึ่งด้านปัจจัยการผลิต ควรมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี และมีจำนวนเพียงพอ  รวมทั้งพัฒนากลไกในการเพิ่มทรัพย์สินทางปัญญาด้านการแพทย์และสุขภาพและการนำไปใช้เชิงพาณิชย์   ด้านความต้องการหรืออุปสงค์  ควรส่งเสริมการแพทย์ครบวงจรของไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

              ส่วนด้านกลยุทธ์โครงสร้างและการแข่งขัน  ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมนวัตกรรมทางการแพทย์และการเพิ่มความสามารถในการพึ่งพาตนเองและขยายการส่งออก  และด้านอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ควรผลักดันการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมสาขาเภสัชภัณฑ์  เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ และเครื่องสำอางให้เติบโตมากขึ้น

              ข้อมูลตัวเลขจากดัชนีชี้วัดต่าง ๆ แม้จะไม่เรียลไทม์  แต่ก็สามารถนำมาคาดการณ์แนวโน้ม หาสาเหตุ ซึ่งจะมีปัจจัยในมิติต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณาในการศึกษาวิจัย   เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมได้อย่างถูกต้องมากขึ้น

              สิ่งที่ได้จากดัชนี้ชี้วัด หรือ LS Index นี้ รองผู้อำนวยการ TCELS  บอกว่า ยังไม่ต้องไปถึงแผนระดับชาติ  อย่างน้อยในฝั่ง TCELS เองก็ได้ข้อมูลในการจัดทำและเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์ให้กับรัฐบาล  และใช้ในการกำหนดนโยบายในการทำงาน ตามบทบาทของ TCELS ที่เป็นหน่วยงานในการเร่งรัดขับเคลื่อนนวัตกรรม   โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านยาชีววัตถุ  เครื่องมือแพทย์ และสารสกัดธรรมชาติ  เพื่อเป็นเครื่องสำอางและเสริมอาหาร  ซึ่งเน้นนวัตกรรมระดับปลายน้ำหรือ TRL7-9 เพื่อเข้าสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม มีการสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนางานวิจัย และกระตุ้นและเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรเพื่อเชื่อมโยงการสร้างความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ.