“เอ็นไอเอ – สภาอุตฯ” หนุนภาคอุตสาหกรรมโตด้วยเทคโนโลยีเชิงลึกดึง 11 ดีพเทคสตาร์ทอัพร่วมแมทชิ่งนวัตกรรม กับ 11,000 สมาชิก FTI หวังพลิกโฉม ธุรกิจ ระบบผลิต และบริการ นำร่องครั้งแรกนิคมฯ พื้นที่อยุธยา
กรุงเทพฯ 19 สิงหาคม 2567 – กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ FTI และเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาคอุตสาหกรรม การศึกษา และนักลงทุน เปิดตัว 11ดีพเทคสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการ “ส่งเสริมสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกสู่การขยายตลาด หรือ FTI DeepTech Startup Connext 2024” โดยเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการพัฒนาโซลูชั่นเพื่อแก้ปัญหาให้ภาคอุตสาหกรรม พร้อมเปิดรับพันธมิตรสำหรับการเชื่อมโยงธุรกิจและร่วมทดสอบการใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการร่วมกับภาคอุตสาหกรรม
ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า NIA เห็นความสำคัญของการพัฒนาดีพเทคสตาร์ทอัพ ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกที่มีความซับซ้อนบนพื้นฐานการวิจัยขั้นสูง สามารถช่วยสร้างให้เกิดตลาดใหม่ โดยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นส่วนใหญ่จะถูกปกป้องด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่ยากต่อการลอกเลียนแบบ จึงสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันหรือเป็นอุปสรรคต่อคู่แข่งได้ ซึ่งNIA ได้รับการสนับสนุนการดำเนินงานจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ กองทุน ววน. ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาสตาร์ทอัพกลุ่มนี้ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น และสร้างให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“NIA จึงได้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดำเนิน “โครงการส่งเสริมสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกสู่การขยายตลาด” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อเฟ้นหาและคัดเลือกสตาร์ทอัพที่มีความสามารถพร้อมแก้ปัญหาให้กับภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์และอินเทอร์เน็ตสำหรับสรรพสิ่ง เทคโนโลยีหุ่นยนต์และโดรน วัสดุใหม่และนาโนเทคโนโลยี และเทคโนโลยีชีวภาพ โดยมุ่งสร้างโอกาสการจับคู่และร่วมมือทางธุรกิจกับภาคอุตสาหกรรมของไทยให้เกิดการทดสอบใช้งานเป็นต้นแบบระดับภาคอุตสาหกรรม โดยผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดขายให้กับสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 300 ล้านบาท นับเป็นการพัฒนาศักยภาพสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกให้มีความพร้อม เพิ่มผู้ใช้งาน และสามารถขยายการใช้งานทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ต่อไป”
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีนโยบายขับเคลื่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทย จึงร่วมมือกับ NIA สร้างสะพานเชื่อมระหว่างสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกให้มีช่องทางขยายการใช้งานสู่ภาคอุตสาหกรรมที่เป็นสมาชิก FTI มากกว่า 11,000 ราย และภาคธุรกิจอื่น ๆ รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท วาย แอนด์ อาร์เชอร์ จำกัด ประเทศเกาหลี และบริษัทสมาชิกจากสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม ที่ร่วมกันเฟ้นหา คัดเลือก และพัฒนาศักยภาพให้คำแนะนำกับสตาร์ทอัพให้สามารถปรับกลยุทธ์ด้านการสร้างตลาด การเตรียมข้อมูลเสนอลูกค้า การเจรจาต่อรอง รวมถึงเทคนิคทดสอบการใช้งานลูกค้า อีกทั้งแหล่งเงินทุนสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ
โดยมีสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกจำนวน 11 ราย ที่ได้รับการคัดเลือก
– การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารและโรงงาน ได้แก่1. AltoTech Global: แพลตฟอร์มวิเคราะห์ ตรวจสอบ และจัดการการใช้พลังงานภายในอาคารด้วย AIoT 2. Green EMS: ระบบบริหารจัดการพลังงานสีเขียว ด้วยการจัดการพลังงานแบบกระจายศูนย์ในโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ 3. Thilium: ฉนวนและสีทาอาคารประหยัดพลังงานด้วยซิลิกาแอโรเจล
– ระบบบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ได้แก่ 4. iCube: แพลตฟอร์มการบริหารจัดการวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างโมเดลในการพยากรณ์ข้อมูลต่าง ๆ ในโรงงานอุตสาหกรรมด้วย Generative AI
– ระบบบำรุงรักษาเครื่องจักรเชิงคาดการณ์เพื่อลดความเสียหายของเครื่องจักร ได้แก่ 5. Cleantech & Beyond: ฉลากอัจฉริยะสำหรับการตรวจสอบความร้อนของเครื่องจักรในงานบำรุงรักษาเชิงป้องกันด้วย Digital Temperature Indicator 6. Zycoda: ระบบบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงแบบครบวงจรด้วย anomaly detection algorithm AI และ ML
– ระบบบำบัดน้ำเสียประสิทธิภาพสูง ได้แก่ 7. Wonder Bubble: ระบบบำบัดน้ำเสียใช้เทคโนโลยีชีวภาพร่วมกับการใช้ Micro-nano bubble ช่วยลดการใช้พลังงาน ช่วยลดกลิ่นเหม็น ช่วยย่อยสลายตะกอนและไขมัน
– การเปลี่ยนกลิ่นเป็นดิจิทัลที่ตรวจวัดได้ ได้แก่ 8. ENVI SENSE: สถานีตรวจวัดกลิ่นและคุณภาพอากาศแบบออนไลน์ และบริการตรวจวัดกลิ่นรบกวน
– การเพิ่มประสิทธิภาพงานทรัพยากรบุคคลและการทำงาน 9. Job Solution: ระบบสัมภาษณ์งานออนไลน์และประเมินสมรรถนะของผู้สมัครงานด้วยเทคโนโลยี AI 10. Dynamic Intelligence Asia: ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าและสามารถจำแนกเอกลักษณ์ของมนุษย์แต่ละบุคคลได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการรักษาความปลอดภัย
– สารเติมแต่งคุณภาพสูง ได้แก่ 11. Ecoguard plus: ระบบอนุภาคนาโนกักเก็บสารเอทิลลออยล์อาร์จิเนตเป็นสารกันเสียทางเลือกใหม่ในอุสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอาง
โดยในปีนี้ต้องการขยายการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของสตาร์ทอัพไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น จึงจัดงาน FTI Matching Day ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ และมีนิคมอุตสาหกรรมและภาคอุตสาหกรรมจำนวนมากที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยจะได้พบกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ปี 2023 – 2024 มากกว่า 20 ราย โดยจัดขึ้นในวันที่ 30 สิงหาคม 2567 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ โรงแรมคลาสสิค คามิโอ อยุธยา ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://url.fti.or.th/l/n6TzIHBvS สำหรับภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจที่สนใจจับคู่ธุรกิจและทดสอบการใช้งานสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ โทร 091-541 5542 (สิรพัฒน์) อีเมล sirapat@nia.or.th และ โทร. 092-263 5600 (ศิริภัสร์) irdi.matchingcenter@gmail.com