ตอกย้ำกลยุทธ์ “Human x Car x Home” ของเสียวหมี่ ประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการหลอมรวมสิ่งต่าง ๆ ทั้งอุปกรณ์ส่วนบุคคล สมาร์ทโฮม และรถยนต์ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้าง “ระบบนิเวศอัจฉริยะ” สำหรับผู้ใช้งานในชีวิตประจำวันให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม ราบรื่น และเรียลไทม์ ซึ่งเป็นไปตามความตั้งใจแรกเริ่ม หรือ “mission” ของเสียวหมี่ ที่ต้องการให้ทุกคนในโลกได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้นผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
“มร. อเล็กซ์ ถัง” ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสียวหมี่ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 เสียวหมี่ได้อัพเกรดกลยุทธ์สู่ระบบนิเวศอัจฉริยะ “Human x Car x Home” ซึ่งถือเป็นการก้าวสำคัญในการก้าวไปข้างหน้าของวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของเสียวหมี่
โดยกลยุทธ์ดังกล่าวนั้นมาจากแนวคิดที่ มนุษย์ (Human) คือ จุดศูนย์รวมสำคัญของการประมวลผลต่างๆ โดยจะมีตัวแปรที่ทำหน้าที่นี้คือ สมาร์ทโฟน (Smartphone) ในขณะที่ บ้าน (Home) คือ พื้นที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ และ รถยนต์ (Car) คือพื้นที่อัจฉริยะที่เคลื่อนที่ได้
ทั้งนี้เสียวหมี่ ก่อตั้งขึ้นในเดือนเมษายน 2553 โดยเป็นบริษัทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะ ที่มีสมาร์ทโฟนและสมาร์ทฮาร์ดแวร์ ที่เชื่อมต่อด้วยแพลตฟอร์ม Internet of Things (IoT) เป็นแกนหลัก
ปัจจุบันเสียวหมี่ คือ หนึ่งในบริษัทสมาร์ทโฟนชั้นนำของโลก โดยในเดือนมิถุนายน 2567 มียอดผู้ใช้บริการรายเดือน (MAU) ทั่วโลก อยู่ที่ประมาณ 675.8 ล้านราย นอกจากนี้เสียวหมี่ยังเป็นผู้นำด้านการก่อตั้งแพลตฟอร์ม AIoT (AI+IoT) ของโลก โดยมีสินค้าอัจฉริยะเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มกว่า 822.2 ล้านเครื่อง (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567) โดยยังไม่รวมสมาร์ทโฟน แล็ปท็อปและแท็บเล็ต ผลิตภัณฑ์ของเสียวหมี่มีวางจำหน่ายกว่า 100 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก และในเดือนสิงหาคม 2567 เสียวหมี่ยังติดอันดับใน Fortune Global 500 นับเป็นการติดอันดับเป็นปีที่หกติดต่อกัน
ล่าสุด…เพื่อแสดงให้เห็นประสิทธิภาพการเชื่อมต่ออัจฉริยะระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ เสียวหมี่ ประเทศไทย ได้จัดแสดงระบบนิเวศอัจฉริยะ “ Human x Car x Home” ภายในงานเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ Xiaomi 14T Series เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา
งานดังกล่าว นอกจากจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง อย่าง “Xiaomi 14T Series” และการประกาศวางจำหน่าย สมาร์ทโฟนจอพับ “ Xiaomi MIX Flip” ในประเทศไทยแล้ว ยังมีการเปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่ คือ Xiaomi Buds 5 และ Xiaomi OpenWear Stereo รวมถึงอุปกรณ์ AIoT อย่าง สายรัดข้อมืออัจฉริยะ Xiaomi Smart Band 9 และหุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะ 2 รุ่นใหม่ที่จะตอบโจทย์การใช้งานในบ้านอย่าง Xiaomi Robot Vacuum X20 Max และ Xiaomi Robot Vacuum X20 Pro
และที่สำคัญ… เสียวหมี่ ประเทศไทย ได้จัดแสดง “ Xiaomi SU7 ” รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะรุ่นแรกของเสียวหมี่ ที่แม้จะยังไม่มีการจัดจำหน่ายในประเทศไทย แต่ก็ได้ทำให้เห็นภาพการเติมเต็มระบบนิเวศอัจฉริยะ“ Human x Car x Home” ได้อย่างครอบคลุมและชัดเจนมากขึ้น
โดย “ Xiaomi SU7 ” พัฒนาขึ้นภายใต้นิยาม “ซีดานของเทคโนโลยีเชิงนิเวศประสิทธิภาพสูงเต็มขนาด” หรือ “full-size high-performance eco-technology sedan” ที่มาพร้อมประสิทธิภาพรอบด้าน รวมถึงการบูรณาการระบบนิเวศและพื้นที่อัจฉริยะเคลื่อนที่ ซึ่งเสียวหมี่ได้ลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนามากกว่า 1 หมื่นล้านหยวน พร้อมด้วยการทำงานที่มุ่งมั่นของวิศวกรมากกว่า 3,400 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคกว่า 1,000 คนในด้านต่าง ๆ
นับตั้งแต่การเปิดตัว Xiaomi SU7 Series ได้รับผลการตอบรับอย่างมากจากผู้ใช้งานในประเทศจีน ซึ่งภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ เสียวหมี่ได้ทำการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ Xiaomi SU7 Series ไปแล้วกว่า 27,307 คัน ในประเทศจีน โดยมียอดส่งมอบต่อเดือนเกิน 10,000 คันเป็นเวลา 2 เดือนติดต่อกัน ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าที่จะส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ Xiaomi SU7 Series ในประเทศจีน จำนวน 120,000 คันภายในปี 2567
สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ Xiaomi 14T Series มีความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพทั้งกลางวันและกลางคืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “‘Master light, capture night” ที่ทลายข้อจำกัดทั้งการถ่ายภาพในที่แสงจ้าและที่แสงน้อย สามารถเก็บภาพได้ในทุกระยะ ความสามารถด้านการถ่ายภาพนี้ เป็นผลมาจากความร่วมมือในการพัฒนาระหว่างเสียวหมี่กับไลก้า (Leica) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และได้อัพเกรดมาเป็นกล้องที่ดีที่สุดของ Xiaomi 14T Series เท่าที่เคยมีมา เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำเรื่องกล้องสมาร์ทโฟน
นอกจากนี้ Xaomii 14T Series ยังเด่นด้วยการออกแบบที่ หรูหรา สวยงามสะดุดตาด้วย Titan Design ขอบจอบางเฉียบทั้ง 4 ด้าน ฝาหลังโค้งแบบ 3D ขอบตัวเครื่องทำจากอลูมิเนียมอัลลอยด์ ทำให้มีความคงทนและสวยงามมากขึ้น อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Advanced AI ที่ Xiaomi 14T Series ได้ร่วมมือกับ Google ในการยกระดับประสิทธิภาพการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น การค้นหา เสียง ข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ เพื่อปรับปรุงให้การใช้งานในชีวิตประจำวันนั้นง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ตัวอุปกรณ์ มีการใช้เทคโนโลยี AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น AI Interpreter ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเอาชนะอุปสรรคทางด้านภาษา เพื่อปรับปรุงการสื่อสารระหว่างการประชุมหรือการโทรสนทนา AI Notes และ AI Recorder ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการถอดเสียงพูดเป็นข้อความ การจดจำผู้พูดได้อย่างแม่นยำ การสรุปอย่างรวดเร็ว มีความสามารถในการแปลภาษาได้แบบเรียลไทม์ และยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพด้านความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ
อย่างไรก็ดี Xiaomi 14T Series มีการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว ทั้งหมด 2 รุ่น คือ Xiaomi 14T Pro และ Xiaomi 14T Xiaomi 14T Series
ส่วน สมาร์ทโฟนจอพับ Xiaomi MIX Flip ซึ่งเสียวหมี่นำมาจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย มาภายใต้สโลแกน Fliptastic ที่พกพาสะดวก ด้วยน้ำหนักเบาเพียง 192 กรัม ทำงานหลักผ่านจอแสดงผลด้านนอกซึ่งเป็นแบบ All Around Liquid outer display ขนาด 4.01 นิ้ว หน้าจอโค้งทั้งสี่ด้าน มีความละเอียด 1.5K อัตราการรีเฟรช 120Hz และความสว่างสูงสุด 3,000 nits ตัวอุปกรณ์ มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานให้ราบรื่นไม่มีสะดุดทั้งบนหน้าจอด้านในและด้านนอก และช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น การดู เวลา สภาพอากาศ และการแจ้งเตือนแอพต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โครงสร้างด้านหลัง Xiaomi MIX Flip ทำจากกระจกพรีเมียมและกรอบอะลูมิเนียมอัลลอยด์ ที่มีความแข็งแรงสูง และได้รับการรับรองจาก SGS ว่าสามารถรองรับการพับได้มากถึง 500,000 ครั้ง
ด้านหุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะ Xiaomi Robot Vacuum X20 Max และ Xiaomi Robot Vacuum X20 Pro ที่จะเข้ามาตอบโจทย์สมาร์ทโฮม มาพร้อมเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เช่น โบลเวอร์ใบพัดแรงดูดสูงพิเศษ จัดการได้แม้ฝุ่นฝังแน่น นวัตกรรมแขนถูพื้นแบบยืดได้ ทำความสะอาดที่แม่นยำระดับมิลลิเมตร เทคโนโลยีการตัดเส้นผม ขณะทำความสะอาดเพื่อป้องกันการพันกัน นอกจากนี้ยังมีสถานีฐานแบบออลอินวันที่อัพเกรดใหม่ การซักและเป่าแผ่นถูพื้นให้แห้งโดยอัตโนมัติภายใน 3 ชั่วโมง ด้วยอุณหภูมิสูง ป้องกันเชื้อรา และกลิ่นอับ การเก็บฝุ่นอัตโนมัติ ไม่ต้องเทฝุ่นทิ้งนาน 75 วัน
สามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางที่ชาญฉลาดและราบรื่น โดยระบุสิ่งกีดขวางด้วยไฟที่มีโครงสร้างเซ็นเซอร์ตรวจจับขอบเพื่อวัดระยะทางและความสูง มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ทำงานได้นาน 120 นาที นำทางด้วยเลเซอร์ LDS สแกนทั่วบ้าน 360 องศา และวางแผนเส้นทางอัตโนมัติ เหมาะสำหรับเค้าโครงบ้านที่หลากหลาย และมีการเชื่อมต่ออัจฉริยะ ด้วยการสัมผัสหรือคำสั่งเสียง และสามารถควบคุมแอพพลิชั่นการทำงานได้จากระยะไกล
ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้ รวมถึงอีกหลากหลายผลิตภัณฑ์ที่เสียวหมี่จะนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยในอนาคต ยืนยันได้ถึงความมุ่งมั่นของเสียวหมี่ ที่จะยังคงพยายามลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิสัยทัศน์ “การเป็นมิตรของผู้ใช้งานและบริษัทที่ทันสมัยที่สุดในใจผู้ใช้งานทุกคน” ที่เสียวหมี่จะมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในราคาที่เป็นมิตร เพื่อให้ทุกคนบนโลกนี้สามารถเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้.