“ศุภมาส” เดินหน้าเตรียมความพร้อมเทคโนโลยีขั้นสูง ผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางพลังงานสะอาดในอาเซียน มอบ สทน. วิจัย-พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานฟิวชัน ขณะที่ ปส. ดูแลมาตรการติดตั้งและเดินเครื่องปฏิกรณ์หน่วยย่อยขนาดเล็ก SMR สำหรับพลังงานฟิชชัน
วันที่ 11 พ.ย.67 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ได้มีนโยบายในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการควบคุมพลาสมาและนิวเคลียร์ฟิวชัน สำหรับพลังงานฟิวชัน (Fusion) รวมถึงมาตรการสนับสนุนการติดตั้งและเดินเครื่องปฏิกรณ์หน่วยย่อยขนาดเล็ก SMR สำหรับพลังงานฟิชชัน(Fission) เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดจากเทคโนโลยีขั้นสูงในภูมิภาคอาเซียน
โดยด้านเทคโนโลยีพลังงานฟิวชัน ได้มอบหมายให้ รศ.ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผอ.สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. เร่งพัฒนาและใช้ประโยชน์จากเครื่องโทคาแมค Thailand Tokamak-1 ที่ได้ติดตั้งสำเร็จแล้ว ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลาสมาและฟิวชัน ให้มีศักยภาพในการต่อยอดและประยุกต์ใช้ รวมทั้งการพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสนับสนุนการจัด ASEAN School for Plasma and Nuclear Fusion หรือ “โรงเรียนฟิสิกส์และฟิวชันนิวเคลียร์อาเซียน” เพื่อเสริมสร้างความรู้และแรงบันดาลใจแก่เยาวชนและนักวิจัยรุ่นใหม่ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
ขณะที่ ด้านเทคโนโลยีพลังงานฟิชชัน ได้มอบหมายให้นางเพ็ญนภา กัญชนะ รองเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) พัฒนาข้อกำหนดมาตรฐานและการควบคุมความปลอดภัยเพื่อสนับสนุนการติดตั้งและเดินเครื่องปฏิกรณ์หน่วยย่อยขนาดเล็ก SMR (Small Modular Reactors) สำหรับพลังงานฟิชชันให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมศึกษาและกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในการจัดการกากกัมมันตรังสี เพื่อเตรียมพร้อมประเทศไทยในการรองรับการพัฒนาและลงทุนในเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชน ความมั่นคงและยั่งยืนทางพลังงาน และประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ
รมว.อว. กล่าวต่อว่า การริเริ่มพลังงานสะอาดนี้เกิดขึ้นภายหลังที่นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร มอบหมายตนเป็นตัวแทนประเทศไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านพลังงานฟิวชันครั้งแรก Inaugural Ministerial Meeting of the IAEA World Fusion Energy Group (WFEG) ซึ่งจัดขึ้นโดยทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(IAEA) ณ กรุงโรม เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา การประชุมนี้มีผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิก IAEA กว่า 30 ประเทศ รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศและภาคเอกชนเข้าร่วม เพื่อแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และกำหนดแนวทางในการพัฒนาพลังงานฟิวชันเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน ที่สำคัญ ในการประชุมครั้งนี้ IAEA ยังได้เปิดตัวเอกสารสำคัญ ได้แก่ World Fusion Outlook 2024 และ Fusion Key Elements ซึ่งเป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาพลังงานฟิวชันเชิงพาณิชย์ โดยเน้นองค์ประกอบสำคัญ 6 ด้าน ได้แก่ การวิจัย อุตสาหกรรม ความปลอดภัย ความมั่นคง ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการมีส่วนร่วมของสาธารณะ
“การพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานฟิวชันที่ประเทศไทยมุ่งมั่นขับเคลื่อนนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล แต่ยังสร้างความมั่นคงด้านพลังงานที่สะอาดและยั่งยืน ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การที่ประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจากองค์กรและผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในการพัฒนาฟิวชันเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงถึงศักยภาพและความพร้อมในการก้าวขึ้นสู่ศูนย์กลางด้านพลังงานสะอาดในภูมิภาค ซึ่งนโยบายดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยเน้นการวิจัย การพัฒนาบุคลากร และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ ยืนยันว่ากระทรวง อว. มุ่งมั่นที่จะผลักดันการวิจัยพลังงานฟิวชันให้เป็นจริง ตลอดจนขยายองค์ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่เพื่อพัฒนาอนาคตด้านพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับคนไทย” น.ส.ศุภมาส กล่าว