นักวิจัยไบโอเทค สวทช. สังเคราะห์สารตั้งต้น ยา ‘ฟาวิพิราเวียร์’ สำเร็จ ช่วยทดแทนวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ ใช้เป็นยาต้านโรค COVID ด้านองค์การเภสัชกรรม เตรียมศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกับ ปตท. สร้างโรงงานสังเคราะห์วัตถุดิบยา
วันนี้ (3 มีนาคม 2564) ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานการแถลงข่าว “ความร่วมมือเพื่อสร้างความสามารถในการพัฒนากระบวนการสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (API: Active Pharmaceutical Ingredients) ของประเทศ: ยาต้านไวรัส “Favipiravir” โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) พร้อมด้วยผู้บริหารและและนักวิจัยจากทั้ง 2 หน่วยงานร่วมแถลงข่าว
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้มาร่วมเป็นสักขีพยานความร่วมมือในการพัฒนาวัตถุดิบสารออกฤทธิ์ทางยา หรือ API สำหรับใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) เพื่อใช้ต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SAR-CoV-2) หรือโควิด19 ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งภายใต้แผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ( BCG Model) พ.ศ. 2564-2569 ตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศให้ BCG เป็นวาระแห่งชาติ และเป็นต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นหนึ่งในวาระที่นำเสนอในการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ปี พ.ศ. 2565 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน
“การพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG ประกอบด้วย 4 สาขายุทธศาสตร์ คือ เกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยอาศัยจุดแข็งของประเทศซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประเทศไทยก็เป็นที่ประจักษ์ของชาวโลกอย่างมากว่าเรามีการแพทย์และสาธารณสุขที่ก้าวหน้าประเทศหนึ่งในเอเชียและระดับโลก ที่สำคัญขณะนี้ประเทศไทยก็ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีน 2 ชนิด จาก 7 ชนิด และวัคซีนอีก 5 ชนิด กำลังอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา นอกจากนี้ เรายังประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัตถุดิบสารออกฤทธิ์ทางยา หรือ API ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมวัคซีน ยา รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่จะช่วยรับมือต่อวิกฤติโรคระบาดในอนาคต”
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศไทยอย่างยั่งยืน ซึ่ง สวทช. มีองค์ความรู้ บุคลากร ความเชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีทางด้านเคมีสังเคราะห์ที่จะช่วยหนุนเสริมองค์การเภสัชกรรมในการผลิตสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม ได้เองภายในประเทศ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านอุตสาหกรรมยาแบบครบวงจร และส่งเสริมงานด้านสาธารณสุขของประเทศ
“เป็นที่ทราบกันดีว่าอุตสาหกรรมการผลิตยาของประเทศไทยยังคงอยู่ระดับปลายน้ำ ต้องนำเข้าสาร API ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยารักษาโรคต่างๆ จากต่างประเทศมากถึง 95 % ดังนั้นหากเราสามารถสังเคราะห์ API ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาตำรับยาได้สำเร็จ จะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมของไทยให้ผลิตยาได้ครบวงจรด้วยตนเองตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ทำให้เราสามารถพึ่งพาตนเอง ลดการนำเข้า สร้างความมั่นคงด้านสุขภาพและการแพทย์ให้กับประชาชนได้ ดังจะเห็นได้จากในช่วงที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 โรคอุบัติใหม่ที่ยังไม่มียารักษา ทำให้มีความพยายามนำยาหรือสารออกฤทธิ์ต่างๆ มาทดลองรักษาโรคปอดอักเสบจากไวรัส SARS-CoV-2 กระทั่งพบยาที่มีประสิทธิผลดีในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ฟาวิพิราเวียร์”
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวอีกว่า ด้วยโรค COVID-19 มีการระบาดใหญ่ทั่วโลก ทำให้ยาฟาวิพิราเวียร์เป็นที่ต้องการอย่างมาก ประเทศผู้ผลิตต้องเก็บไว้รักษาประชากรของตนเอง ทำให้ยาขาดตลาด การสั่งซื้อทำได้ยากและมีจำนวนจำกัด จึงอาจไม่เพียงพอต่อการรักษาของผู้ป่วยในประเทศที่ไม่สามารถผลิตยาเองได้ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ สวทช. ร่วมกับองค์การเภสัชกรรม เดินหน้าวิจัยพัฒนากระบวนการผลิต API ด้วยตนเองในระดับห้องปฏิบัติการกระทั่งประสบความสำเร็จ ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาสูตรตำรับยาที่ทางองค์เภสัชกรรมดำเนินการอยู่ เพื่อใช้ในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์สำหรับต้านโรค COVID-19
“อย่างไรก็ดี ในกระบวนการสังเคราะห์ API นั้น แม้ทีมวิจัยจะเลือกแนวทางการผลิตที่ดีที่สุดจากหลายแนวทางการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็ยังเป็นวิธีที่ต้องใช้สารตั้งต้นที่มีราคาแพง ทำให้ทีมวิจัยเร่งศึกษาวิจัยต่อยอด พัฒนากระบวนการสังเคราะห์จากเดิม 6 ขั้นตอน เป็น 9 ขั้นตอน ถึงแม้จะมีขั้นตอนที่มากขึ้นแต่เป็นวิธีที่สามารถใช้วัตถุดิบราคาถูก หาได้ง่าย และพึ่งพาตนเองได้ โดย API ที่นักวิจัยจาก ไบโอเทค สวทช. สังเคราะห์ได้มีคุณภาพดี มีมาตรฐานทัดเทียมระดับสากล สามารถใช้เป็นสารตั้งต้นทดแทน API ที่นำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับในขั้นต่อไป องค์การเภสัชกรรมจะขยายการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม (Pilot Scale) ร่วมกับทีมนักวิจัย ไบโอเทค สวทช. และจะมีการต่อยอดขยายผลไปสู่อุตสาหกรรม API โดยมี บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมศึกษาความเป็นไปได้เพื่อขยายผลสู่ขั้นตอนการผลิตในเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน มีการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมยกระดับอุตสาหกรรมยา สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ตั้งเป้าสร้างศักยภาพการผลิตยาในประเทศ”
ด้าน นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 องค์การเภสัชกรรม องค์กรหลักด้านยาของประเทศ ได้มีการวิจัยและพัฒนายาและวัคซีนสำหรับใช้ในโรค COVID-19 ในส่วนของวัตถุดิบยาฟาวิฟิราเวียร์ องค์การฯ ได้ร่วมมือกับ สวทช. ดำเนินการวิจัยและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์วัตถุดิบ Favipiravir ซึ่งขณะนี้ สวทช. ได้ดำเนินการในระดับห้องปฏิบัติการเสร็จแล้ว ได้กระบวนการสังเคราะห์จากสารตั้งต้นตัวใหม่ที่มีราคาถูกกว่าสารตั้งต้นที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศที่ใช้อยู่ ณ ปัจจุบัน ขณะนี้องค์การฯ อยู่ในระหว่างการยื่นจดสิทธิบัตรต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา ขณะเดียวกัน สวทช. พร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับองค์การฯ เพื่อพัฒนาต่อยอดกระบวนการสังเคราะห์ไปสู่ระดับกึ่งอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมต่อไป
ทั้งนี้องค์การฯ สวทช. และ ปตท. จะมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างโรงงานสังเคราะห์วัตถุดิบยา Favipiravir และวัตถุดิบยาจำเป็นอื่นๆ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาวัตถุดิบยาที่มีความจำเป็นต่อระบบสาธารณสุข และมีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ สร้างความมั่นคงทางยาให้กับประเทศไทย นับเป็นสิ่งที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่โครงการ BCG ได้บรรจุแผนการสร้างโรงงานสังเคราะห์วัตถุดิบลงในแผนสาขาด้านยาและวัคซีน เพื่อสามารถให้การสนับสนุนต่อไป