บริษัทเทคโนโลยีบริหารการลงทุน “สแทชอเวย์ (StashAway)” สตาร์ทอัพเวลธ์เทคสัญชาติสิงคโปร์ที่มีขนาดใหญ่ และเติบโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการสร้างพอร์ตที่เหมาะกับเป้าหมายทางการเงินและระดับความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละคน
ยศกร นิรันดร์วิชย กรรมการผู้จัดการ บลจ.สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า มิชชั่นของบริษัทคือ อยากจะช่วยให้คนสร้าง Wealth ได้ในระยะยาว เนื่องจากประเทศไทยยังขาดการวางแผนการเงินในระยะยาว เห็นได้จากคนไทยมีเงินเพื่อการเกษียณไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นผลมาจากเครื่องมือการออม หรือการเข้าถึงคำแนะนำการลงทุนที่ดี ดังนั้น สแทชอเวย์ จึงอยากเข้ามาช่วยบริหารจัดการตรงจุดนี้
สแทชอเวย์มีสำนักงานอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกง และไทย โดยแต่ละประเทศที่ทำการตลาดนั้น สแทชอเวย์ได้รับใบอนุญาตจัดการกองทุนและการประกอบธุรกิจจากหน่วยงานกำกับดูแลของประเทศนั้นๆ โดยสแทชอเวย์ถือเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีบริหารการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดใน SEA โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท) มีการระดมทุนถึงรอบ Series C และได้ระดมทุนมาแล้วทั้งหมด 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ยศกร กล่าวต่อว่า จากข้อมูลพบว่าข้อจำกัดของการลงทุนที่มักพบเป็นส่วนใหญ่ในประเทศไทยที่ คือ 1.ตัวเลือกในการลงทุนต่างประเทศมีจำกัด ดังนั้นสิ่งที่สแทชอเวย์ช่วย คือ เป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุนต่างประเทศ เน้นการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลกด้วย ETF อาทิ หุ้นเทคโนโลยี หุ้นเฮลธ์แคร์ตราสารหนี้ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นเครื่องมือที่ต้นทุนต่ำ มีสภาพคล่องสูง และมีการกระจายความเสี่ยงที่ดี
2.คำแนะนำการลงทุนไม่เพียงพอ / อาจไม่เหมาะกับลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งทางสแทชอเวย์ให้ลูกค้าสามารถดูพอร์ตและคำแนะนำการลงทุนที่หลากหลายได้ตลอดเวลา และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับ ทำให้สามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า3.ค่าธรรมเนียมสูง / เงินขั้นต่ำสูง ดังนั้นสแทชอเวย์จึงลดข้อจำกัดเรื่องจำนวนเงินขั้นต่ำ มีโครงสร้างค่าธรรมเนียมโปร่งใสและคุ้มค่า
“ผลิตภัณฑ์ของบริษัท ได้แก่ Global Portfolio พอร์ตการลงทุนที่สร้างขึ้นและลงทุนใน ETF ที่ซื้อ-ขายในตลาด NYSE ตามระดับความเสี่ยงต่างๆ บริหารด้วยอัลกอลิทึม ERAA® (Economic Regime-based Asset Allocation) ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจและตลาดเพื่อจัด Asset Allocation ให้เหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายมากกว่า 33 ประเภททั่วโลก และระบบจะคอยตรวจสอบพอร์ตในทุกๆวัน เพื่อรักษาระดับความเสี่ยงตามที่กำหนด เพื่อกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภทในหลายภูมิภาคและอุตสาหกรรม”
ทั้งนี้โครงสร้างค่าธรรมเนียมประกอบไปด้วย ค่าธรรมเนียมการจัดการของบริษัทเพียง 0.2%-0.8% ต่อปี ตามมูลค่าของสินทรัพย์ ค่าธรรมเนียมการแลกเงินตามที่ธนาคารเรียกเก็บ และค่าธรรมเนียมการจัดการที่กองทุน ETF เรียกเก็บตามจริง ส่วน Revenue Model จะมาจากค่าธรรมเนียมการจัดการของบริษัทเท่านั้น
ยศกร กล่าวเสริมว่า การลงทุนที่ดีควรจะเข้าถึงง่ายและตัดข้อจำกัดต่างๆ ในการลงทุน อาทิ จำนวนเงินหรือระยะเวลาขั้นต่ำ เพราะด้วยบริษัทมีเทคโนโลยี Fractional Share ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลงทุนได้อย่างแม่นยํา ฝาก-ถอนเงินได้ โดยไม่ต้องกังวลว่า Asset Allocation จะเปลี่ยนจากเดิม
“เงินของลูกค้าจะถูกจัดเก็บอยู่ในบัญชี Custodian ที่แยกจากบัญชีที่บริษัทใช้ในการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งมีมาตรการที่เคร่งครัดในการรักษาความปลอดภัยของเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานระดับสากล”
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหน้าที่ของบริษัทฯที่จะให้ความรู้กับลูกค้าในการนำเงินสดมาลงทุน ตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับเป้าหมายที่วางไว้ ที่นอกจากจะให้ความสำคัญกับการพัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่มีความละเอียดระดับมาตรฐานสากล ยังเน้นการให้ความรู้ทางการเงินเพื่อช่วยให้คนเข้าใจ วิธีการบริหารจัดการความมั่งคั่งเช่นกัน
ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯเติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุน คือ ความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องแม้จะต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่น การปรับฐานอย่างรุนแรงสองครั้งในปี 2561 และ สถานการณ์โควิด-19 ในปี 2563 โดยสแทชอเวย์ยังคงสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี* ตั้งแต่ 4.3% (สำหรับพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำสุด) ไปจนถึง 15.1% (สำหรับพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงสุด) นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนกรกฎาคม ปี 2560 ทั้งนี้บริษัทประสบกับสภาวการณ์โควิดแต่นักลงทุนยังคงให้ความเชื่อมั่น จนทำให้ตั้งแต่ก่อนโควิดจนถึงตอนนี้สแทชอเวย์เติบโต 2-3 เท่า
ขณะเดียวกันที่ผ่านมาสแทชอเวย์ได้รับเงินลงทุนจากกองทุน Venture Capital รายใหญ่จากทั่วโลก อาทิ กองทุน Eight Roads Ventures ที่สนับสนุนโดยบริษัท Fidelity Investment และเป็นผู้ลงทุนรายแรก ๆ ใน Alibaba กองทุน Square Peg ซึ่งเป็นกองทุน Venture Capital ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย และ Hubert Burla Media ซึ่งเป็นบริษัทสื่อและเทคโนโลยีชั้นนำจากเยอรมนี
และเมื่อถามถึงภาพรวมของตลาดในประเทศไทย ยศกร มองว่า ตลาดประเทศไทยยังมีโอกาสในการเติบโต เนื่องจากคนไทยต้องการลงทุนต่างประเทศเยอะขึ้นด้วย 2 ปัจจัยคือ 1.ความมั่นคงของเศรษฐกิจไทยที่มักผันผวนตลอดเวลา 2.เศรษฐกิจไทยมีบริษัทใหญ่ค่อนข้างเยอะอยู่ในเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม ไม่มีบริษัทที่เป็นเศรษฐกิจแบบใหม่ หรือ บริษัทเทคโนโลยีมากนัก ขณะเดียวกันทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการผ่อนคลายกฎระเบียบการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น
อีกทั้งช่องทางการลงทุนต่างประเทศในประเทศไทยยังน้อย ซึ่งออฟชั่นส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนรวมค่อนข้างเยอะ และเมื่อในประเทศไทยมีนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในต่างประเทศค่อนข้างเยอะเพื่อกระจายความเสี่ยงของตนเอง ดังนั้นสแทชอเวย์จะเป็นทางเลือกใหม่ให้นักลงทุนกลุ่มนี้มาลงทุนผ่านดิจิทัลเวลธ์มากขึ้น ขณะที่จุดเด่นของบริษัทคือ เราให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีและพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเพื่อมอบ โซลูชั่นการลงทุนที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
สำหรับสิ่งที่เขามองว่าเป็นความท้าทายในการทำธุรกิจด้านเวลธ์เทค คือ “ความเชื่อมั่น” เพราะด้วยการลงทุนมักมีความเสี่ยงและไม่มีใครสามารถการันตีได้ จึงไม่แปลกที่มักจะได้ยินวลีฮิตติดหูที่ว่า “ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน”
ดังนั้นจะดีกว่าไหม หากมีผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านการบริหารการลงทุนที่มาพร้อมกับดีพเทคโนโลยี ซึ่งเสมือนผู้ช่วยที่พาก้าวข้ามการลงทุนแบบเดิมๆ สู่โลกที่กว้างกว่า ทำให้การลงทุนต่างประเทศเป็นเรื่องที่ง่าย ใต้ต้นทุนที่ต่ำอย่าง “สแทชอเวย์” แต่กระนั้นด้วยความที่เป็นผู้เล่นรายใหม่ อาจจะต้องใช้เวลาสร้างความเชื่อมั่นจากลูกค้านักลงทุน ดังนั้นในระยะเวลาต่อจากนี้อาจจะเห็นการเคลื่อนไหวด้านการลงทุนของสตาร์ทอัพรายนี้กันบ่อยครั้งก็เป็นแน่……