“ใช้งานง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อมและมีราคาที่เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงได้”
นี่คือจุดเด่นและเป็นเจตนารมย์ของนักวิจัยที่ริเริ่มพัฒนาอุปกรณ์อัจฉริยะอย่าง “ HandySense” (แฮนดี้ เซนส์) ขึ้น เพื่อเป็นตัวช่วยในการเริ่มต้นทำเกษตรยุคใหม่ให้กับเกษตรกรไทย ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติภายใต้การขับเคลื่อนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องการยกระดับเกษตรกรไทยจากการทำเกษตรแบบดั้งเดิมที่ยังต้องใช้แรงงานคนและขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ มาสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ ที่เป็นเกษตรแม่นยำและเกษตรมูลค่าสูง
โดย “HandySense” หรือ “ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ” ริเริ่มและพัฒนาโดย “นายนริชพันธ์ เป็นผลดี” ผู้ช่วยนักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยระบบไซเบอร์-กายภาพ (CPS) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากการเป็นลูกหลานเกษตรกร อาชีพดั้งเดิมของครอบครัว เมื่อคุณพ่อ ซึ่งเกษียณอายุการทำงาน กลับไปทำอาชีพเกษตรกรอีกครั้ง “นริชพันธ์” หรือ “ตุ้น” ซึ่งเป็นนักวิจัยที่พัฒนางานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเซนเซอร์และไอโอที ( Internet of things: IoT) จึงคิดที่จะประยุกต์ความรู้ที่มี พัฒนาเป็น “อุปกรณ์อัจฉริยะ” เทคโนโลยีตัวช่วยที่จะทำให้ครอบครัวและเกษตรกรคนอื่น ๆ สามารถทำงานด้านการเกษตรได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น
ระบบบริหารจัดการฟาร์มอัจฉริยะ “HandySense” อาศัยการทำงานของเทคโนโลยีไอโอทีและเซนเซอร์ ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือ ระบบเซนเซอร์ตรวจวัดสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตรวจวัดค่าสภาพแวดล้อมที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชแบบเรียลไทม์ผ่านเซนเซอร์ เช่น เซนเซอร์วัดความเข้มแสง อุณหภูมิ ความชื้นในดิน และในอากาศ แสง และส่งต่อข้อมูลจากเซนเซอร์ผ่านระบบคลาวด์ ไปยังส่วนที่ 2 คือ ระบบแสดงผลแจ้งเตือนและควบคุมการทำงานผ่าน Web application ที่สามารถแสดงผลข้อมูลสภาวะปัจจุบันของพืช และนำไปเปรียบเทียบกับค่าที่เหมาะสมของการเพาะปลูก (Crop Requirement) เพื่อแจ้งเตือนและสั่งการระบบต่าง ๆ ให้ทำงานต่อไป
ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถควบคุม การทำงานของระบบอัตโนมัติได้ใน 3 รูปแบบคือ 1.การวัดค่าจากเซนเซอร์ เมื่อเซนเซอร์ตรวจพบค่าสภาวะที่ไม่เหมาะสมจะสั่งงานระบบอื่น ๆ ให้ทำงานโดยอัตโนมัติ 2.การตั้งเวลา ซึ่งเกษตรกรสามารถตั้งเวลาให้ระบบทำงานโดยอัตโนมัติตามเวลาที่กำหนดไว้ได้ และ 3.การสั่งงานแบบกำหนดเอง ซึ่งสามารถสั่งการ ปิด-เปิดระบบควบคุมต่าง ๆ ได้ทันทีผ่านสมาร์ตโฟน
ทีมวิจัยฯ ได้มีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลค่าที่เหมาะสมของการเพาะปลูกพืชหลายชนิด ซึ่งป้อนค่าไว้ในแอปพลิเคชันโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น เมล่อน มะเขือเทศ มะม่วง ข้าว ผักไฮโดรโปรนิกส์และเห็ด นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นให้เกษตรกรสามารถป้อนค่าที่เหมาะสมของพืชแต่ละชนิดเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง ทำงานได้ทั้งในระบบออนไลน์และออฟไลน์ เกษตรกรสามารถดูข้อมูลสภาพแวดล้อมย้อนหลังในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะแสดงผลในรูปแบบกราฟ สามารถนำข้อมูลไปใช้วางแผนการเพาะปลูกในอนาคตได้
“นริชพันธ์” บอกว่า จากจุดเริ่มต้นของการพัฒนา ซึ่งทดลองการใช้งานจริงกับโรงเรือนปลูกมะเขือเทศของครอบครัวที่จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการเก็บข้อมูลจากเซนเซอร์ มาศึกษาและพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพระบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีพ.ศ.2560 ได้ร่วมมือกับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขยายผลให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์ ภายใต้โครงการ “ดีแทค ฟาร์มแม่นยำ” โดยนำร่องทดลองใช้งานกับ 30 ฟาร์มใน 23 จังหวัด
ต่อมาในปี พ.ศ.2562 ได้มีการขยายผลการใช้งานในอีกหลายพื้นที่ อย่างเช่นที่ ฉะเชิงเทรา ที่สำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา มีการขยายผลการใช้งานจริงในพื้นที่ทำการเกษตรปลอดภัยสูงหรือผักปลอดภัยให้กับเกษตรกรผู้สนใจใน 34 แห่ง ในทุกอำเภอของจังหวัดฉะเชิงเทรา
ผลการทดลองใช้งานระบบฯ พบว่า ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างน้อย 20% เนื่องจากช่วยลดต้นทุน และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ตรงกับความต้องการของพืช และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ขณะที่อุปกรณ์มีความทนทาน ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน สามารถลดการใช้แรงงานได้ประมาณ 50 % ซึ่งจากผลตอบรับที่ดี ทำให้ในปีงบประมาณ 2564 สำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ขยายผลการใช้งานระบบดังกล่าว เพิ่มอีก 49 ฟาร์ม
…..และเพื่อไม่ให้งานวิจัย หยุดอยู่แค่การนำร่องทดสอบใช้ แต่ต้องสามารถสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและเกษตรกรไทยได้อย่างยั่งยืน เนคเทค-สวทช. ได้มุ่งมั่นที่จะผลักดันให้เกิดอีโค่ซิสเต็มส์ (Ecosystem) หรือระบบนิเวศนวัตกรรมอย่างครบวงจรให้กับ “HandySense”
ล่าสุด….เนคเทค-สวทช. ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เปิดตัวการเผยแพร่พิมพ์เขียว หรือ blueprint (บลูพรินท์) ของระบบ HandySense ซึ่งเป็นการเปิด Open Innovation (โอเพ่น อินโนเวชั่น) งานวิจัยด้านเทคโนโลยีการเกษตรชิ้นแรกของเนคเทค หลังจากที่ผ่านมาเนคเทค ได้เปิด Open Innovation ด้านต่าง ๆ ไปแล้ว เช่น เน็ตพาย คิดไบร์ท เอไอฟอร์ไทย นวนุรักษ์ Data.go.th และไทยสคูล ลันซ์
การเปิด Open Innovation สำหรับ HandySense ครั้งนี้ เป็นการเปิดเผยรายละเอียดการผลิตหรือพิมพ์เขียวของบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ โดยอนุญาตให้สาธารณะนำไปผลิตและใช้งานโดยไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ (License Fee) และค่าตอบแทนการใช้สิทธิรายปี (Royalty Fee)
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค-สวทช. บอกว่า HandySense ดำเนินการมากว่า 2 ปี โดยลงระบบที่จังหวัดฉะเชิงเทรากว่า 30 แปลง และจะขยายผลต่ออีกกว่า 40 แปลง ซึ่งมีทั้งดีแทค และมูลนิธิชัยพัฒนา ฯ มาร่วมทดลองด้วย ดังนั้นจึงพร้อมที่จะเปิด Open Innovation ให้กับผู้ประกอบการ โดยสามารถนำพิมพ์เขียวไปผลิตได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาในการพัฒนาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่
ขณะนี้งานวิจัยได้อยู่ระหว่างขั้นตอนของการพัฒนามาตรฐานของอุปกรณ์ โดยร่วมมือกับสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในเรื่องของความทนทานต่อสภาพแวดล้อมและด้านความปลอดภัยต่าง ๆ ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานสากลให้สินค้าอุปกรณ์ทางการเกษตร ที่เป็นบริบทของประเทศไทย ช่วยลดกลไกการผลิตเชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบการ โดยช่วยลดต้นทุนด้วยการที่ภาครัฐทำมาตรฐานให้ เป็นการขับเคลื่อนระบบอีโค่ซิสเต็มส์ของนวัตกรรมที่เกิดจากงานวิจัยให้มีความเข้มแข็ง และสามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ
“เทคโนโลยี HandySense และเทคโนโลยีรูปแบบอื่นๆ ที่เนคเทคพัฒนาขึ้น สิ่งแรกคือจะต้องทนทาน และใช้งานได้จริง นี่คือสิ่งที่เนคเทคต้องใช้เวลาก่อนที่จะนำมาเปิดเผย สิ่งต่อมาคือ จะทำอย่างไรให้เทคโนโลยีดังกล่าวถูกนำไปใช้ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งการมีพันธมิตรเครือข่ายที่ครบทั้งอีโค่ซิสเต็มส์ ทั้งงานวิจัยที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีพื้นที่ทดสอบ และมีตัวอย่างผลการใช้งานจากเกษตรกรตัวจริง มีการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรโดยตรงอย่างกรมส่งเสริมการเกษตร และการสนับสนุนด้านการเงินในการนำเทคโนโลยีไปใช้งานจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร รวมถึงการเปิด Open Innovation เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือทางด้านสมาร์ตฟาร์มโดยผู้ประกอบการไทย ”
ดร.ชัย บอกว่า ท้ายที่สุด “หัวใจ” ของการทำสมาร์ตฟาร์ม จะอยู่ที่ “ข้อมูล” โดย “HandySense” จะเป็นด่านหน้า ซึ่งสิ่งที่เนคเทคอยากเห็นคือ ข้อมูลที่ไหลเข้ามาและสามารถนำไปสร้างเป็นค่าที่เหมาะสมของการเพาะปลูกพืชแต่ละชนิด เพื่อเปิดเผยให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ซึ่งทั้งหมดนี้เทคโนโลยีจากต่างประเทศยังเข้าไม่ถึง แต่อย่างไรก็ดีการที่จะสามารถดึงข้อมูลเหล่านี้ได้นั้น จำเป็นที่จะต้องมีมาตรฐานเดียวกัน
“นี่ก็คือเหตุผลที่ควรจะผลักดันให้ระบบสมาร์ตฟาร์ม กระจายในทุกๆ พืช และในหลากหลายพื้นที่ ซึ่งจากการที่ลงไปติดตั้งในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่ามีการใช้กับพืชมากกว่า 13 ชนิด โดยหลักๆจะเป็นพืชผัก นอกจากนี้ยังมีผลไม้ และมีการทดลองใช้กับปศุสัตว์และการประมงอีกด้วย”
สำหรับการผลักดันให้เกิดการใช้งานในวงกว้าง เนคเทคได้มีความร่วมมือกับกรมส่งเสริมการเกษตร ในการนำ “HandySense” ไปสร้างต้นแบบแปลงเรียนรู้การบริหารจัดการแปลงเกษตรด้วยระบบเกษตรอัจฉริยะ ที่ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) และศูนย์ปฏิบัติการในสังกัดของกรมส่งเสริมการเกษตร รวม 50 ศูนย์ปฏิบัติการ ภายในปี พ.ศ. 2566 และยังร่วมมือกับภาคเอกชน อย่างเช่น ดีแทค และโอเปอร์เรเตอร์รายอื่น ๆที่คาดว่าจะให้ความสนใจในอนาคต รวมถึงความร่วมมือกับทางดีป้า หรือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ที่มีเครือข่ายผู้ประกอบการทางด้านดิจิทัลจำนวนมาก และมีโปรแกรมสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการเกษตร
ระบบ “HandySense” ถือว่าเป็นเทคโนโลยีอัจฉริยะที่มีราคาถูก สามารถผลิตเองได้ในประเทศ โดยมีต้นทุนทั้งระบบไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาท หากมีความต้องการใช้งานเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการสามารถผลิตได้ในราคาที่ถูกลง ดังนั้นประเด็นต่อไปที่เนคเทคจะมุ่งเน้นก็คือการเรียนรู้และการติดตั้ง โดยเนคเทคได้มีการจัดอบรมไปแล้วหลายร้อยคน ซึ่งนอกจากจะเป็นการพัฒนาความรู้ทักษะในการบริหารจัดการให้แก่เกษตรกรต้นแบบ ใน ศพก. และเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อยกระดับเป็นวิทยากรเกษตรอัจฉริยะแล้ว ยังเน้นการสร้างผู้ประกอบการจากสายอาชีวะ เพื่อให้บริการและเข้าไปช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้กับเกษตรกรอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2560-2563 มีการนำระบบ “HandySense” ไปใช้งานจริงในฟาร์มแล้ว กว่า 80 แห่ง ในหลายจังหวัด สำหรับปี พ.ศ.2564 เนคเทค-สวทช. จะขยายผลการใช้งานเพิ่มอีกเกือบ 60 แห่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากจังหวัดฉะเชิงเทราเพื่อติดตั้งให้กับเกษตรกรในพื้นที่ และโครงการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมและเกษตรกรต้นแบบที่ได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมการเกษตรและ ธ.ก.ส.
สำหรับปี พ.ศ.2565 เนคเทคมีเป้าหมายขยายผลการใช้งานเพิ่มอีก 100 แห่ง และตั้งเป้าการใช้งานระบบ “HandySense” ครบ 500 แห่งทั่วประเทศ ในปี พ.ศ. 2566
ทั้งนี้เป้าหมายสำคัญของหน่วยงานวิจัยระดับประเทศอย่างเนคเทค-สวทช. ก็คือ การผลักดันให้ “HandySense” เป็นส่วนหนึ่งของการใช้เทคโนโลยีการเกษตรอย่างยั่งยืนของเกษตรกรไทย
แต่เป้าหมายนี้จะสำเร็จไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกษตรกรไทยโดยตรงอย่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจะเป็นภาคส่วนที่สำคัญในการส่งต่อองค์ความรู้สู่เกษตรกร และบุกเบิกสร้างกำลังซื้อให้ตลาดอุปกรณ์เกษตรที่เป็นเทคโนโลยีอัจฉริยะจากผู้ประกอบการไทย
ซึ่งในอนาคตหากเกษตรกรไทยมีการใช้ระบบนี้อย่างแพร่หลาย เชื่อว่าการบริหารจัดการด้านการเกษตรของไทย จะสามารถก้าวกระโดดไปสู่ยุคเกษตรอัจฉริยะได้อย่างรวดเร็ว