12 หน่วยงานภาคีความร่วมมืออวกาศไทย ลงนามความร่วมมือวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีอวกาศ พร้อมเปิดโอกาสให้คนไทยสร้าง “ดาวเทียมวิจัยวิทยาศาสตร์” เปลี่ยนประเทศจาก “ผู้ซื้อ” เป็น “ผู้สร้าง”
เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2564 ที่โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานใน พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา วิจัย และพัฒนานวัตกรรม เกี่ยวกับเทคโนโลยีอวกาศไทย ของภาคีความร่วมมืออวกาศไทย (Thai Space Consortium : TSC) ซึ่งเป็นความร่วมมือของ 12 หน่วยงาน ระหว่างหน่วยงานวิทยาศาสตร์ชั้นนำ 6 แห่ง และสถาบันอุดมศึกษา 6 แห่ง ประกอบด้วยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนก กล่าวว่า เทคโนโลยีอวกาศ เช่น ดาวเทียมที่เป็น earth observation และยานอวกาศที่จะส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์ ล้วนเป็นเรื่องที่ยาก ท้าทาย และผิดพลาดไม่ได้ เรื่องนี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าคนๆ เดียว หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะรับมือได้ จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และความร่วมมือจากหลายฝ่าย ที่จะนำองค์ความรู้ ความสามารถและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ มาร่วมทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม แม้หนึ่งในเป้าหมายของ TSC คือไปดวงจันทร์ สิ่งที่เป็น output หลักคือผลพลอยได้ระหว่างทางไปเป้าหมายคือได้สร้างคนเก่ง สร้าง startup ที่จะเป็น seeds ของ supply chain ของ TSC สร้าง space economy ในประเทศให้เกิดขึ้นได้
“วันนี้ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นการผนึกกำลังเป็นภาคีความร่วมมืออวกาศไทย ของผู้เชี่ยวชาญ ในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และสถาบันอุดมศึกษา ที่จะร่วมมือกันพัฒนากำลังคน โครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศน์สำหรับพัฒนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอวกาศของประเทศให้เกิดขึ้นและยืนหยัดต่อไปได้อย่างยั่งยืน”
ด้านดร. ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร.ในฐานะหน่วยงานเลขานุการภาคีความร่วมมืออวกาศไทย กล่าวว่า ภาคีความร่วมมืออวกาศไทย มีเป้าหมายสำคัญ คือ การพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร ยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูงในประเทศไทย การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ วิศวกรรุ่นใหม่ ได้ร่วมกันสร้างและพัฒนาดาวเทียมขนาดเล็กโดยใช้องค์ความรู้ภายในประเทศ เรียนรู้ ลงมือทำโดยตรง ทดสอบและควบคุมการใช้งานโดยฝีมือคนไทย รวมถึงออกแบบ และสร้างอุปกรณ์ Payload เพื่อใช้งานด้านต่างๆ เช่น กล้องถ่ายภาพที่มีความสามารถในการถ่ายภาพในหลายความยาวคลื่น สามารถประยุกต์ใช้กับด้านการเกษตร การใช้พื้นที่ของประชากร และบรรยากาศ
“เราใช้กระบวนการพัฒนาดาวเทียมวิจัยวิทยาศาสตร์ เป็นความท้าทายในการพัฒนาศักยภาพกำลังคน ด้านวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ของประเทศ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศในประเทศไทย ยกระดับขีดความสามารถด้านอุตสาหกรรมอวกาศของไทย และสร้างแรงบันดาลใจใฝ่รู้ให้กับคนในชาติ ให้ตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีอวกาศ ร่วมแรงร่วมใจพลิกโฉมประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โครงการนี้ถือเป็นวาระแห่งชาติที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว เป็นโจทย์ที่ท้าทายการยกระดับองค์ความรู้ ของประเทศที่สำคัญมาก และจะพลิกโฉมประเทศไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”
โดยทั้ง 12 หน่วยงาน จะมีบทบาทสนับสนุนการทำงานของภาคีฯ ภายใต้กรอบการดำเนินงาน 5 ด้าน ได้แก่ งานวิศวกรรม งานแอพพลิเคชั่น งานวิจัยและพัฒนา งานสนับสนุนการศึกษา และงานสนับสนุนภาค อุตสาหกรรม โดยใช้โครงสร้างพื้นฐาน ห้องปฏิบัติการ ความเชี่ยวชาญ และกำลังคนที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่
“นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า ตลาดอุตสาหกรรมอวกาศทั้งโลกจะมีมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นมูลค่าหลายเท่าของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบัน นับได้ว่าอุตสากรรมอวกาศอยู่ในช่วงขาขึ้น และไทยต้องใช้ห้วงเวลานี้ตักตวงโอกาสพัฒนาศักยภาพการผลิตให้ทันท่วงที เมื่อ 30 ปีก่อนไทยตกขบวนเซมิคอนดักเตอร์ แต่วันนี้เราจะไม่ตกขบวนอวกาศ”