“โกลด์ คราวน์” สตาร์ทอัพ Deep Tech ความงามและสุขภาพไทย เปิดตัวนวัตกรรมสารสกัดสมานเซลล์ มิวโคโพลีแซคคาไรค์ ไฮโดรไลเซส “มหันตมูกะ” ภูมิปัญญาไทยผสานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสมัยใหม่ เจ้าของลิขสิทธิ์รายแรกของโลกจากงบวิจัยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ชูจุดเด่นดูแลผิวได้ลึกกว่า ไฮยาและคอลลาเจน ได้กฤษ์คลอด 2 ผลิตภัณฑ์แรก มหันตมูกะ เซรั่มและ มหันตมูกะ เจล ออกตีตลาดเครื่องสำอางยุค 5.0 จับใจผู้บริโภคมองหาผลิตภัณฑ์เพื่อความงามนวัตกรรมใหม่ที่ดูแลผิวพรรณได้มากกว่า พร้อมออกตีตลาดในประเทศผ่านช่องทางขายออนไลน์ และตัวแทนขาย ตั้งทำรายได้ 800 ล้านบาท ภายใน 5 ปี พร้อมเปิดรับนักลงทุน ปักธงออกตีตลาดโลก ชี้นวัตกรรมเพื่อความงามและสุขภาพคือ 1 ในธุรกิจดาวรุ่งแห่งอนาคต
นางสาวพรทิพย์ วิจารณ์ปรีชา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โกลด์ คราวน์ จำกัด และบริษัท จีเนียส ฟู้ด จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเป็นสตาร์ทอัพ Deep Tech กลุ่มความงามและสุขภาพได้เปิดตัว นวัตกรรมสารสกัดสมานเซลล์ “มิวโครโพลีเซคคาไรค์ ไฮโดรไลเซส” ในชื่อ มหันตมูกะ (MAhantamuka) เกิดจาก Deep Technology ที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคิดค้นพัฒนานวัตกรรมชั้นสูงเพื่อความงามและสุขภาพ ด้วยจุดเด่นสามารถอยู่ในชั้นผิวหนังที่ลึกลงไปมากกว่า กรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) และ คอลลาเจน (Collagen) เป็นรายแรกของประเทศไทยและของโลก โกลด์ คราวน์ เป็นผู้ผลิตและวิจัยนวัตกรรมมหันตมูกะ สารสกัดนวัตกรรมภูมิปัญญาของคนไทย ที่ได้รับทุนสนับสนุนงานวิจัยจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และใช้ระยะเวลาคิดค้นนวัตกรรมใหม่ดังกล่าวเป็นระยะเวลานาน 3 ปี นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของผู้วิจัยพัฒนานวัตกรรมเพื่อความงามโดยภูมิปัญญาของคนไทยอย่างเป็นรูปธรรม จดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ นวัตกรรมสารสกัดสมานเซลล์ มหันตมูกะ ได้ถูกต่อยอดพัฒนากลายเป็นผลิตภัณฑ์สกินแคร์ โดยพร้อมวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใน 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์แรกได้แก่ 1.มหันตมูกะ เซรั่ม (Mahantamuka Serum) และ 2. มหันตมูกะ เจล (Mahantamuka Gel) ด้วยการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี ไฮโดรไลซ์ (Hydrolyzed) เพื่อตัดสารให้สารที่มีโมเลกุลใหญ่ให้มีโมเลกุลที่เล็กลง ช่วยให้ซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้รวดเร็วกว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทั่วไป ช่วยบำรุงล้ำลึกถึงระดับเซลล์ผิว ปกป้องผิวให้แข็งแรง ลดภาวะการอักเสบ ผื่นแดง จากการอักเสบของสิว มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียอ่อนๆ ลดการเกิดสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยกระตุ้นการสร้าง อีลาสติน (Elastin) และ คอลลาเจน ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ที่มีส่วนในการสร้างเม็ดสีผิว ภายใต้องค์ประกอบสำคัญ โดยมีสรรพคุณในการบำรุงรักษาผิวไม่ด้อยไปกว่าเครื่องสำอางเคาท์เตอร์แบรนด์ระดับโลก
“ตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับตลาดในต่างประเทศ และปัจจุบันการตลาดเครื่องสำอางได้ก้าวเข้าสู่ยุด 5.0 ที่แข่งขันกันด้วยความรวดเร็วด้านการขายและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ประทับใจ ตรงใจผู้บริโภคมากที่สุด โดยจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ที่โดนใจผู้บริโภคยุคนี้คือผลิตที่คิดค้นโดยนวัตกรรมใหม่ๆ มีสรรพคุณที่สามารถสร้างความประทับใจ ใช้แล้วเห็นผลได้จริง และต้องผลิตจากสารธรรมชาติ 100% ซึ่งเราเชื่อว่านวัตกรรมสารสกัดสมานเซลล์ มหันตมูกะ จะกลานเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคในยุค5.0”
นอกจากนี้บริษัทยังได้วางแผนช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลากหลายช่องทาง (Multichannel ) ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้สะดวก รวดเร็วในวงกว้าง ทั้งในช่องทางออนไลน์ ได้แก่ www.mahantamuka.com , Line : @mahantamuka , FB : mahantamuka skin มหันตมูกะ ระบบตัวแทนจำหน่ายและ อนาคตเตรียมขยายช่องทางการขายร่วมกับ อี-มาร์เกตเพลสชั้นนำ
ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าทำรายได้ปีแรกที่ 50 ล้านบาท และมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดขึ้นในทุกปี ซึ่ง ภายในปี 2569 จะมีผลประกอบการที่ 800 ล้านบาท และนอกจากวางแผนทำตลาดในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบแล้ว บริษัทยังเปิดรับนักลงทุนที่สนใจ มองหาและสนใจร่วมลงทุนในธุรกิจด้านนวัตกรรมเพื่อความงามและสุขภาพซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตอย่างมากในอนาคต เพื่อร่วมกับต่อยอดนวัตกรรมไทยออกไปสร้างชื่อเสียงในเวทีโลกและนำผลิตภัณฑ์ออกวางจำหน่ายในตลาดโลก
นายสายันต์ ต้นพานิช รองผู้ว่าการวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ เปิดเผยว่า นวัตกรรมสารสกัดสมานเซลล์ มหันตมูกะ ถือเป็นเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมชั้นยอดของภูมิปัญญาไทยที่ผสานการใช้เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่ล้ำสมัย หรือ Deep Tech เพื่อคิดค้นเป็นรายแรกด้วยฝีมือคนไทย จากห้องวิจัยออกสู่มือผู้บริโภคและยังมีโอกาสสร้างชื่อเสียงในเวทีโลก ด้วยความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ที่ล้ำสมัยในตลาดความงามและสุขภาพ และเชื่อว่าอนาคตอันใก้ลประเทศไทยจะมีนวัตกรรมดีๆ ฝีมือคนไทยในสาขาต่างๆ ออกทำวางจำหน่ายในตลาดอย่างต่อเนื่อง เพราะคนไทยเริ่มเรียนรู้การนำคิดค้นพัฒนานวัตกรรมใหม่ที่เป็น Deep Tech อย่างจริงจังประกอบกับภาครัฐให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเติมที่เพื่อมุ่งนำประเทศก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน