กฟผ. จับมือ Andritz Hydro GmbH (AH) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศไทยให้มีความทันสมัยด้วยระบบอัตโนมัติ เตรียมขยายโอกาสด้านธุรกิจเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าพลังน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง รองผู้ว่าการธุรกิจเกี่ยวเนื่อง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ ด็อกเตอร์ ฮารัลด์ ฮีเบอร์ (Dr.Harald Heber) กรรมการผู้บริหารบริษัท Andritz (Member of the Hydro Executive Board) ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศไทยให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล เตรียมพร้อมขยายโอกาสด้านธุรกิจเดินเครื่องและบำรุงรักษา (O&M) โรงไฟฟ้าพลังน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีนายเชิดชัย แสนสีหา ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการธุรกิจ กฟผ. และนายอเล็กซานเดอร์ ชว็อบ (Mr.Alexander Schwab) รองประธานอาวุโส ฝ่ายการบริหารการตลาด บริษัท Andritz (Senior Vice President Market Management, Business Development and Corporate Communications) ร่วมลงนามในฐานะพยาน พร้อมด้วยผู้บริหารทั้ง 2 หน่วยงานเข้าร่วมพิธีในรูปแบบออนไลน์ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565
นายณัฐวุฒิเปิดเผยว่า การลงนาม MOU ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัท Andritz และ กฟผ. จะได้ร่วมกันยกระดับมาตรฐานโรงไฟฟ้าพลังน้ำให้มีความทันสมัยและเป็นระบบอัตโนมัติ (Automation) สอดคล้องกับความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี และนโยบายด้านการสนับสนุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งบริษัท Andritz มีความพร้อมและมีศักยภาพในด้านเทคโนโลยีและอุปกรณ์โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ในขณะที่ กฟผ. มีความเชี่ยวชาญด้านงานเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า ความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่จะร่วมกันขยายการเติบโตทางด้านธุรกิจของทั้งสองหน่วยงานทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน ในยุคที่พลังงานหมุนเวียนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
Dr.Harald Heber กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัท Andritz ร่วมงานกับ กฟผ. ปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนภูมิพลของ กฟผ. ถือเป็นประสบการณ์ทำงานที่ดีอย่างยิ่งของบริษัท ขอขอบคุณ กฟผ. ที่เล็งเห็นถึงประโยชน์และศักยภาพของบริษัท หวังว่าบันทึกข้อตกลงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะสร้างให้เกิดผลสำเร็จและเกิดประโยชน์ต่อทั้งสององค์กรในด้านการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และต่อยอดไปสู่การสร้างรายได้ทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียนต่อไป