ABM ประกาศเดินหน้าสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ขึ้นแท่นผู้นำด้านเชื้อเพลิงชีวมวลของไทย รุกธุรกิจ Green Transformation สู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าด้านพลังงานสะอาด สอดรับเทรนด์รักษ์โลกที่มาแรง ดันรายได้ธุรกิจสีเขียวเติบโต 40-50% จากปีที่ผ่านมา
นายปองธรรม แดนวังเดิม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย ไบโอแมส จำกัด (มหาชน) หรือ ABM ผู้ประกอบธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวมวล 5 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มกะลาปาล์ม, กลุ่มไม้สับและส่วนอื่นๆของไม้, กลุ่มขี้กบ ขี้เลื่อย และฝุ่นไม้, กลุ่มชีวมวลอัดแท่ง และกลุ่มสินค้าอื่น เปิดเผยว่า ตามที่การประชุมสุดยอดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขององค์การสหประชาชาติ (UN) หรือ COP26 ณ เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 มีมติในที่ประชุมเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดแก้ปัญหาสภาพอากาศ ลดอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจก และรัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง
นายปองธรรม กล่าวว่า ABM ในฐานะผู้นำในการให้บริการจัดหาและจัดจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวมวลหลากหลายประเภทให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงชีวมวลในกระบวนการผลิตทั้งในและต่างประเทศ พร้อมสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ที่ประเทศทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียนชนิดอื่นๆ แทนพลังงานฟอสซิล รวมทั้งสนับสนุน Green Economy ลด Carbon Footprint ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ในขณะนี้
ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทกำหนดยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจ Green Transformer เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดยนำเทคโนโลยีและกลยุทธ์ทางดิจิทัล เข้ามาใช้ในการวางรากฐานเป้าหมายและดำเนินธุรกิจให้กับลูกค้าในปัจจุบันและลูกค้าในอนาคต ที่ต้องการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานสิ้นเปลือง หรือพลังงานฟอสซิล ได้แก่ น้ำมัน รวมทั้งหินน้ำมัน ทรายน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ มาเป็นพลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานชีวมวล (Biomass Energy) ซึ่งเป็นพลังงานที่ผลิตได้จากการนำวัสดุชีวมวล มาผ่านกระบวนการแปรรูปจนได้ก๊าซ นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการผลิตไฟฟ้า ช่วยลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ลดรายจ่ายให้กับผู้ผลิตและผู้ใช้พลังงานอย่างครอบคลุมแบบครบวงจร นับเป็นการสร้าง New S-curve ของบริษัทฯ ที่ชัดเจนตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป
“บริษัท พร้อมแล้วสำหรับการรุกธุรกิจ Green Transformation อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งพนักงาน อุปกรณ์และเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต รูปแบบการให้บริการและให้คำปรึกษาในกระบวนการผลิตและการให้บริการที่เปี่ยมคุณภาพของบริษัท โดยมีลูกค้าสนใจและติดต่อเข้ามาขอรับคำปรึกษาแล้วอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทใดที่ต้องการดำเนินธุรกิจพลังงานชีวมวลทางเลือก หรือพร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการใช้พลังงานทดแทน โดยมองเห็นโอกาสในการเติบโตของการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน ขอให้คิดถึง ABM” นายปองธรรมกล่าว
อย่างไรก็ตาม การบริหารงานของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นในการสร้างระบบบริหารพลังงานที่โปร่งใสไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือเกิดมลภาวะที่เป็นพิษอย่างน้อยที่สุด ทำให้บริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลจากหลายหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ เช่น CSR-DIW AWARD 2021 สถานประกอบการที่ได้มาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการ จากกระทรวงอุตสาหกรรม, ใบรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 3 จากกระทรวงอุตสาหกรรม, การได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14001:2015 รวมถึง มาตรฐาน ISO 9001:2015 ระบบบริหารงานคุณภาพจาก SGS รวมถึงได้รับใบประกาศการรับรองมาตรฐานด้านคุณภาพอาชีวอนามัยและความปลอดภัยสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม Bureau Veritas Certification เป็นต้น
นายปองธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เติบโต 40-50% จากปี 2564 โดยขยายตัวของบริการหลักใน 5 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มกะลาปาล์ม, กลุ่มไม้สับและส่วนอื่นๆของไม้, กลุ่มขี้กบ, ขี้เลื่อย และฝุ่นไม้, กลุ่มชีวมวลอัดแท่ง และสินค้าอื่นๆ รวมถึงขยายธุรกิจเทรดดิ้ง ให้บริการสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น และธุรกิจ Green Transformer ซึ่งจะช่วยสนับสนุนยอดขายและมาร์จิ้นเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 2564 บริษัทมีการเติบโตแข็งแกร่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศมีคำสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น จากความต้องการของตลาดที่ต้องการลดการใช้เชื้อเพลิงที่มีสารคาร์บอน อีกทั้งถ่านหินที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้นและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 1,907.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.21 จากปี 2563 และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 26.80 ล้านบาท