ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร จุฬา ฯ ระดมความร่วมมือแพทย์หลากหลายสาขา รักษาผู้ป่วยมะเร็งครบวงจร พร้อมพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด หวังเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและลดผลข้างเคียง
รองศาสตราจารย์ ดร.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์ความเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับ 1 คือราว 80,000 คนต่อปี แนวโน้มสถิตินี้อาจจะยืนหนึ่งต่อไป เนื่องด้วยในแต่ละปี มีผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งรายใหม่กว่า 200,000 คน เป็นผู้ป่วยในทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็ก วัยทำงาน ไปจนผู้สูงอายุ
“โรคมะเร็งเป็นโรคที่รักษายากเนื่องจากธรรมชาติของโรคมีความซับซ้อน การบำบัดรักษาจึงต้องบูรณาการความร่วมมือจากแพทย์หลากหลายสาขา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จึงได้ก่อตั้ง “ศูนย์ความเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร” ขึ้น และให้บริการมาแล้ว 7 ปี โดยคัดสรรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในสาขาวิชาต่างๆ ให้มาทำงานร่วมกันในการดูแลรักษาผู้ป่วยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาเพิ่มขึ้นทุกปี”
ทั้งนี้ในการรักษาผู้ป่วยอย่างครบวงจรและเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ศูนย์ฯ ได้มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสหสาขาวิชาชีพมาทำงานร่วมกัน ใช้วิทยาการและเทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นสูงเพื่อรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานระดับนานาชาติ รวมถึงนำนวัตกรรมใหม่ๆ อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ มาใช้ในการรักษา เช่น หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery) เครื่อง MRI และเครื่องฉายรังสีด้วยอนุภาคโปรตรอน ซึ่งเป็นแห่งแรกในอาเซียน สามารถให้รังสีไปที่ก้อนมะเร็งได้อย่างแม่นยำ ลดปริมาณรังสีไปสู่อวัยวะรอบข้าง และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการฉายรังสี
นอกจากการรักษาด้วยวิทยาการอันทันสมัยแล้ว ศูนย์ฯ ยังคำนึงถึงการดูแลผู้ป่วยในมิติอื่นๆ อย่างรอบด้าน อาทิ ให้คำแนะนำผู้ป่วยตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการรักษา ส่งเสริมสุขภาพระหว่างการรักษา ติดตามสุขภาพผู้ป่วยเมื่อจบการรักษา รวมทั้งให้ความสำคัญในเรื่องสิทธิการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสิทธิการรักษาอย่างเท่าเทียม ได้มาตรฐาน และครอบคลุมทุกสิทธิการรักษาอย่างดีที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อคลายความกังวลใจในเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา
สำหรับแนวทางมาตรฐานการให้ยารักษามะเร็ง รองศาสตราจารย์ ดร.นพ.วิโรจน์ กล่าวว่า ปัจจุบันมี 3 วิธี ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยมะเร็งแตกต่างกัน แนวทางแรกคือการใช้ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการ ทำให้โรคมะเร็งลดลง ค่าใช้จ่ายไม่สูง มีประสิทธิภาพปานกลาง แต่อาจมีผลข้างเคียงมาก แนวทางที่ 2คือ การใช้ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) มีฤทธิ์ในการมุ่งรักษาเฉพาะจุด เป็นการให้ยารักษาที่จำเพาะต่อการกลายพันธุ์ของมะเร็ง มีประสิทธิภาพจำเพาะในผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์ตรงกับตัวยา อาการข้างเคียงมักจะไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับยาเคมีบำบัด และแนวทางที่ 3 ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างมากและอาจเป็นความหวังให้กับผู้ป่วยมะเร็ง คือ ยาภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ซึ่งสามารถปลดล็อกการซ่อนตัวของเซลล์มะเร็ง เพื่อให้ภูมิคุ้มกันร่างกายสามารถเข้าไปกำจัดเซลล์มะเร็งได้ ไม่จำเพาะกับชนิดมะเร็ง และส่วนใหญ่มีผลข้างเคียงน้อย
“ปัจจุบันโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง กำลังวิจัยและพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด โดยมุ่งเน้นพัฒนาการรักษา 3 วิธีคือ เซลล์บำบัดมะเร็ง วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล และยาแอนติบอดีต้านมะเร็ง (ยาภูมิต้านมะเร็ง) ซึ่งภูมิคุ้มกันบำบัดทั้ง 3 วิธีนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน สามารถใช้รักษาร่วมกัน และใช้ร่วมกับการรักษามะเร็งด้วยวิธีการอื่นๆ ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยในผู้ป่วยโรคมะเร็งเพื่อจะได้ทำการทดสอบในวงกว้างต่อไป”
นอกจากการบริการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งแล้ว ศูนย์ความเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร จุฬาฯ ยังมีบทบาทในด้านการสอนและอบรม โดยมีการสอนระดับบัณฑิตศึกษาหลักสูตรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพาะทางโรคมะเร็งในรูปแบบผสมผสานเพื่อให้เป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมนานาชาติ และยังมีการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมหรือเทคโนโลยีระดับสูงเพื่อการวินิจฉัย การรักษา การพยากรณ์โรค และการทำนายผลการตอบสนองต่อการรักษาและนำมาใช้ในการยกระดับคุณภาพการรักษาพยาบาล เพื่อให้ผลงานวิจัยด้านโรคมะเร็งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ