สอวช. เสนอสมุดปกขาวทิศทางการพัฒนา อววน. เพื่อการฟื้นตัวของประเทศหลังวิกฤตโควิด-19 ชูเป็นคู่มือแนวทางบูรณาการนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผน อววน. เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศหลังวิกฤตโควิด
ดร. กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรมแห่งชาติ (สอวช.)กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการอํานวยการ สอวช. ครั้งที่ 7/2563 ซึ่งศาสตราจารยพิเศษ ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ได้มอบหมายให้ ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัด อว. เป็นประธานการประชุม ซึ่งในที่ประชุมได้นำเสนอสมุดปกขาว “ทิศทางการพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการฟื้นตัวของประเทศหลังวิกฤตโควิด-19” ที่ สอวช. จัดทำขึ้น เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) อย่างบูรณาการเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศหลังวิกฤตโควิด-19 โดยมุ่งเน้นการใช้ อววน. เพื่อขจัดความยากจน สร้างความมั่นคงของมนุษย์ พัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและวางรากฐานเพื่ออนาคต พัฒนากำลังคนและการอุดมศึกษา และปฏิรูประบบ อววน. ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนใช้เป็นแนวทางในการบูรณาการนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนด้านการอุดมศึกษา และด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และการพัฒนาหน่วยงานให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพและเป็นระบบ
ทั้งนี้ได้สรุปถึงปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ใน 6 เรื่อง ประกอบด้วย การเกิดขึ้นของโควิด-19 และโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ ความเหลื่อมล้ำและความไม่เสมอภาคทางสังคม การเปลี่ยนขั้วอำนาจเศรษฐกิจของโลก การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและการขาดแคลนทรัพยากร การหลากหลายของขั้นชีวิตและสังคมสูงวัย ตลอดจนนวัตกรรมพลิกโฉม หรือที่เรารู้จักกันในนาม Disruptive Innovation
และจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงข้างต้น นำมาสู่การวิเคราะห์ 5 แนวทางการปรับตัวของประเทศสู่อนาคต ซึ่งประกอบด้วย 1. การสร้างสมดุลระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างสังคมที่มีคุณภาพ ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง พัฒนาระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งและรักษาสิ่งแวดล้อม 2. การคำนึงถึงความมั่นคงของประชาชนในประเทศเป็นที่ตั้ง ทั้งความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางสุขภาพ ความมั่นคงทางพลังงาน และความมั่นคงทางอาชีพ 3. สร้างความเข้มแข็งจากภายใน โดยเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อกระจายความเจริญสู่ท้องถิ่นและส่งเสริมให้เกิดการพึ่งพาตัวเอง เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 4. สร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมที่พัฒนาจากความสามารถของคนไทย เพื่อลดการพึ่งพาจากต่างชาติ และ 5. เตรียมการเพื่อรองรับสังคมในอนาคตที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจจากนวัตกรรมพลิกโฉม เช่น สังคมที่มนุษย์และหุ่นยนต์อยู่ร่วมกันในชีวิตประจำวัน เศรษฐกิจที่มีปัญญาประดิษฐ์เป็นฐานในการดำเนินธุรกิจ
ดร. กิติพงค์ กล่าวว่า เพื่อเป็นแนวทางบูรณาการนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผน อววน. สมุดปกขาวฉบับนี้จึงได้นำเสนอทิศทางในการพัฒนา อววน. เพื่อการฟื้นตัวของประเทศหลังวิกฤตโควิด-19 ที่สำคัญ 6 ด้าน คือ 1.เปลี่ยนความยากจนสู่ความมั่งมีอย่างทั่วถึง ด้วย อววน. 2. สร้างเสริมคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์และพลังทางสังคมเพื่อการพัฒนาที่สมดุล ผ่านการส่งเสริมระบบ อววน. ในการสร้างคน องค์ความรู้และนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนามนุษย์ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่สมดุล ยั่งยืนและทั่วถึง 3. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (BCG) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน 4.ยกระดับอุตสาหกรรมและวางรากฐานเพื่ออนาคตด้วย อววน. ผ่านการใช้ อววน. หนุนเสริมการเปลี่ยนผ่านภาคการผลิตและบริการสู่ “อุตสาหกรรม 4.0” 5. พลิกโฉมการอุดมศึกษาและพัฒนากำลังคนให้ตอบโจทย์ประเทศ ทั้งการพัฒนากำลังคน การวิจัย นวัตกรรม ที่สอดคล้องกับบริบทประเทศและสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป และ 6. ปฏิรูประบบ อววน. ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือถึงแนวคิดการจัดตั้งวิทยสถานด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ประเทศไทย หรือ TASSHA (Thailand Academy of Social Science Humanities and Arts) เสนอโดยสำนักปลัดกระทรวง อว. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศที่สามารถนำงานวิจัยและวิชาการด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ มาบูรณาการองค์ความรู้และวิธีการแก้ปัญหาแบบองค์รวมเพื่อให้เกิดการพัฒนางานวิจัยที่สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันและอนาคต และนำไปสู่การสร้างคุณค่าและผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งในการเสนอแนวคิดตั้ง TASSHA ท่านปลัด อว. มองว่า ถือเป็นการริเริ่มครั้งสำคัญของกระทรวง อว. ที่นำเอาศาสตร์และมิติด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ที่เป็นเรื่องสำคัญของประเทศ มาต่อยอดที่ไม่ใช่แค่เพียงการให้ความรู้ แต่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาติ ไม่แค่การเข้าใจประวัติศาสตร์แต่คือการเชื่อมโยงกับปัจจุบันและพัฒนาสู่อนาคต