สวทช.เดินหน้ายกระดับขีดความสามารถหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษารองรับการสร้างผู้ประกอบการใหม่ เผยเบื้องต้นมีการประเมินหาจุดแข็งของหน่วยบ่มเพาะใน 5 มหาวิทยาลัยนำร่อง
วันนี้(26 ต.ค.63) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (ทีเอ็มซี) ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี เดินหน้าโครงการยกระดับขีดความสามารถหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา ประจำปี พ.ศ.2563 ปีที่ 3 เพื่อพัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ ของหน่วยบ่มเพาะฯ ให้สามารถรองรับการสร้างผู้ประกอบการใหม่ ได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น
นางสาวนุชนภา รื่นอบเชย ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา กระทรวง อว. กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ในการขับเคลื่อนงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่การสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ พัฒนากระบวนการผลิต สร้างงาน-รายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งหนึ่งในภารกิจสำคัญคือการส่งเสริมกิจการบ่มเพาะธุรกิจผ่านหน่วยบ่มเพาะธุรกิจ (Business Incubator) ที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดผู้ประกอบการใหม่และพัฒนาผู้ประกอบการเดิม
“จากการดำเนินงานโครงการยกระดับขีดความสามารถหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา ไม่เพียงเป็นการยกระดับการบริหารจัดการหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจด้วย Maturity Model เท่านั้น ยังเป็นเวทีพบปะของผู้บริหาร และทีมงานจากหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจทั้งหลายที่ร่วมโครงการฯ เกิดการแบ่งปันประสบการณ์ องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม และเทคนิคต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ รวมทั้งสร้างแรงบันดาลใจ แห่งการบรรลุเป้าหมายของแต่ละหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจด้วย” นางสาวนุชนภา กล่าว
ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ข้อมูลจากที่ปรึกษาพบว่าผู้ประกอบการทั่วโลกที่ได้รับการบ่มเพาะธุรกิจนั้นมีอัตราการอยู่รอดและเติบโตมากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการบ่มเพาะถึงร้อยละ 30 สำหรับโครงการยกระดับขีดความสามารถหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา ประจำปี พ.ศ.2563 ดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในปีนี้ได้ร่วมกับสำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ทำการประเมินหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษานำร่อง จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
“โครงการฯ ได้รวบรวมข้อมูลของหน่วยบ่มเพาะฯ ทั้ง 5 แห่ง แล้วนำมาวิเคราะห์ร่วมกับบริษัท Creeda จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงด้านบ่มเพาะธุรกิจระดับโลกมีประสบการณ์กว่า 35 ปี เป็นที่ปรึกษามากกว่า 50 ประเทศ จนทราบถึงสถานภาพปัจจุบันแล้ว จึงเก็บข้อมูลและสัมภาษณ์ เพื่อทำการประเมินตามหลักมาตรฐานสากล แล้วนำผลมารายงานข้อค้นพบ พร้อมข้อเสนอแนะกระบวนการในการประยุกต์ใช้โมเดลที่มีความสอดคล้องกับบริบทและสถานภาพการบริหารจัดการของหน่วยบ่มเพาะฯ ของแต่ละสถาบันต่อไป” ดร.ฐิตาภากล่าว
ด้านนางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า ผลการประเมินทำให้ทราบถึงจุดแข็งของหน่วยบ่มเพาะธุรกิจของ 5 มหาวิทยาลัย ทั้งในเรื่องของระยะเวลาและขั้นตอนการบ่มเพาะที่เหมาะสมและสอดคล้องกับ best practice ในระดับนานาชาติ มีขั้นตอนการคัดเลือกผู้ประกอบการที่ละเอียด จำนวนผู้ประกอบการที่เข้ามาคัดเลือกเพื่อเข้ารับการบ่มเพาะ มีการประสานงานที่ดีกับเครือข่าย 9 แห่งทั่วประเทศ ประกอบกับการมีเจ้าหน้าที่ที่มีใจรักบริการและความสัมพันธ์ที่ดีกับมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังได้มีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของหน่วยบ่มเพาะฯ มากมายที่จะนำมายกระดับขีดความสามารถของหน่วยบ่มเพาะฯ เช่น การปรับแผนยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและระบบนิเวศ ในชุมชนมากขึ้น การปรับยุทธศาสตร์ให้เข้ากับความต้องการของผู้ประกอบการและความต้องการของตลาดในพื้นที่ การสร้างเสริมความสัมพันธ์กับภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ปัญหามากขึ้น รวมถึงการปรับแผนยุทธศาสตร์ด้านการเงินให้มีความยั่งยืนและมีงบประมาณจากแหล่งทุนที่หลากหลาย
ทั้งนี้การที่ศูนย์บ่มเพาะประสบความสำเร็จได้นั้นมาจากการหารายได้จากช่องทางที่หลากหลายและแหล่งทุนอื่นๆ ทั้งจากการสนับสนุนของภาคเอกชนหรือแม้แต่จากผู้ประกอบการที่จบออกจากโครงการบ่มเพาะ ซึ่งตัวอย่างของศูนย์บ่มเพาะฯ ในยุโรปที่รับงบประมาณจากรัฐบาลมาร้อยละ 60 ส่วนร้อยละ 40 มาจากภาคเอกชนและผู้ประกอบการในศูนย์บ่มเพาะ เป็นต้น